ความเหงา

ขอบรรยายลงในรายละเอียดอย่างนี้ครับ สมัยปี 1995 และก่อนหน้านั้นที่ยังเป็นคาทอลิกอยู่ ผมเคยมีความเหงาในระดับร้ายแรง และเครื่องมือที่ใช้ในการดับความเหงาก็คือความสามารถทางโลกที่สามารถแก้ปัญหาทางเทคนิคได้แทบทุกปัญหา คือบุคลากรทั้งองค์กรแก้ไม่ได้...แล้ว ส่งมาถึงมือโจโจ้ จะต้องแก้เอาจนได้แม้ไม่ถึงร้อยละร้อยแต่ก็ใกล้เคียง

 

ชีวิตช่วงนั้นของตนเอง มองย้อนกลับไปนี่น่าสงสาร น่าอนาถมาก ต้องดื่มกินความภาคภูมิใจอย่างไม่คิดชีวิต พอเหงามากๆ ก็ต้องไปรับอาสาแก้ปัญหาให้คนเพื่อให้ตนเองหายเหงา แต่ช่วงนั้นไม่เคยยอมรับกับใครเลยนะครับว่าเหงา ไม่เคยคิดว่าตนเองเหงาด้วยซ้ำ คิดแต่วันฉันเก่งที่สุดอยู่ตลอด 

 

ข้อดีของการเป็นคนขี้เหงาในระดับสูงมาก กลายเป็นเรื่องดีที่ทำให้ได้รู้จักกับความเหงา ว่ามันเป็นความว่างเปล่า ต้องการรู้ว่าฉันมีตัวตนอย่างยิ่ง อะไรก็ได้ที่ทำให้คนรู้จัก สนใจ (ในทางที่ไม่ใช่ความเลว) โจโจ้พยายามคว้าหมด จนกระทั่งได้มารู้จักวิธีการดับความเหงาวิธีใหม่ในช่วงกลางปี 1996 คือการให้ จากนั้นก็เลย "เสพติดการให้" ด้วยความที่เหงามาก ก็เลยต้องให้มาก เพื่อดับความเหงา จึงได้รู้จักกับสภาพที่เหงา-ไม่เหงา-เหงา-ไม่เหงา สลับกันไปมาหลายร้อยหลายพันครั้ง แต่การให้ทุกครั้งก็ไม่ได้ดับความเหงาได้ถาวร คือมันคลายไปป๊อบแป๊บแล้วมันก็กลับมาใหม่ แต่ด้วยการที่ให้ คือได้ช่วยคนที่มีความทุกข์เรื่องความรักอย่างหนักหนาสาหัสเป็นหลักร้อยคนจนพ้นออกมา คลายจากทุกข์ได้

 

อานิสงส์ที่ได้จากการช่วยคนให้พ้นทุกข์จำนวนร้อย ก็ส่งให้ได้พบพุทธศาสนาในที่สุด แต่กว่าจะ "ตื่น" จริงๆ ก็ปาไปต้นเดือนมีนาคมปี 2003 แล้วครับ ก่อนหน้านั้นมัวไปเอ้อระเหยลอยชายอยู่สุขปลอมๆชั่วครั้งชั่วคราวในเรื่องความรักด้วยการพยายามให้เพื่อให้เขาให้เรากลับ ที่ในที่สุดแล้วก็เห็นจริงว่ามันไม่ได้ให้สุขอะไรเลย มีแต่ทุกข์ล้วนๆ จนสุดท้ายจมไปกับความโง่ที่ให้ผลเป็นความทุกข์แบบสาหัส แต่ก็ดีที่บุญเก่าส่งผล คือคิดได้ว่าต้องไปปฏิบัติ แถมด้วยแฟนเก่าไล่ให้ไปปฏิบัติ จึงไปอยู่คนเดียวในกุฏิใหญ่มาก(อยู่ได้ 40 คน) 2 สัปดาห์ ได้เข้าใจอนัตตาจริงๆก็ช่วงนั้นแหละครับ ทะยอยกันเห็นทีละขันธ์เป็นอนัตตาซ้ำแล้วซ้ำอีก จนได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าความเป็นเราไม่มีอยู่จริงเมื่อเวลา 7.46น.ของวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม ที่ขับรถกลับจากวัดเวฬุวันวนาราม อ.ทองผาภูมิกลับเข้ากรุงเทพ หลังจากที่มีมอเตอร์ไซค์กลับรถปาดหน้าจนต้องเบรกตัวโก่งก่อนถึงไฟแดงแยกวังสารภี โดยก่อนที่จะเกิดเป็นโทสะตามปกติเมื่อถูกปาดหน้ากระชั้นชิด ก็เห็นขึ้นมาว่า ความเป็นเราไม่มีอยู่นี่ แล้วก็จบลงตรงนั้น ขับรถต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ผมเฝ้าสังเกตเรื่องนี้มาตลอด 15 ปีที่ผ่านมาจนแน่ใจว่า รากเหง้าของปัญหาสารพัดในสังคมทุกสังคม มาจากความเหงา 

 

ถ้าจะนิยามความเหงาว่าคือความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน คือต้องให้มีคนโน้นคนนี้มาแสดง ว่าฉันมีตัวตน คือฉันสำคัญ น่ารัก น่าใส่ใจ น่าคบหา ด้วยการแต่งหน้าตาให้ดูดี แต่งตัวให้ดูเนี้ยบ แสดงออกว่าเก่ง มีความสามารถ หรือมีเงินมาก ใส่นาฬิกาแพง ใช้รถราคาแพง ตลอดไปจนเบ่งใส่คนอื่นเพื่อแสดงตัวว่าฉันเหนือกว่า แจ๋วกว่า ซึ่งถ้าเรียงตั้งแต่ความเหงาขั้นพื้นฐานแล้ว จะพบว่า การดับความเหงาโดยวิธีทั่วๆไปจะกระทำโดยการหาสิ่งกระทบอายตนะ (เครื่องดึงดูด) ทั้ง 5 คือตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นลำดับแรก นี่เป็นการเสพความรู้สึกว่าฉันมีตัวตนจากการมีสิ่งกระทบอายตนะเหล่านั้น  ที่ขยายความได้เป็นการดูหนัง ฟังเพลง ใช้น้ำหอม กินอาหาร หรือเสพสิ่งสัมผัสที่น่าพึงใจทางกาย

 

จากนั้น เมื่อเสพสิ่งพื้นฐานจนเกิดความคุ้นชิน สิ่งกระทบอายตนะทีละ 1 หรือ 2 เริ่มดับความเหงาไม่ไหวเพราะชินกับมัน ก็จะเริ่มมองหาสิ่งกระทบที่มากจำนวนอายตนะขึ้นไปหรือมีคุณภาพสูงขึ้น เช่นหนังจอยักษ์ หนัง High Definition หรือ Bluray (ผมก็ดู 555) หรือเครื่องเสียงที่ดียิ่งๆขึ้นไป ลำโพงราคาแพง ให้เสียงสมจริง อาหารราคาแพง ปรุงแบบพิสดาร หรือสัมผัสที่รุนแรงมากขึ้นและตกกระทบอายตนะที่มากยิ่งขึ้น เช่นเพศสัมพันธ์

 

ถัดจากนั้น เมื่อคุ้นชินกับการเสพผ่านอายตนะตามปกติครบถ้วนแล้ว ผู้ที่เกิดความคุ้นชินเหล่านั้นจะแสวงหาสิ่งกระทบ(ผัสสะ)ที่แรงยิ่งๆขึ้นไปเช่น ภาพและเสียงที่รุนแรง อาหารที่แปลกพิสดารมากขึ้นไป อาหารรสจัด รวมไปจนถึงเพศสัมพันธ์วิตถารพิสดาร หรือยาเสพติด ซึ่งให้สิ่งกระทบทางอายตนะที่ 6 คืออายตนะใจ เช่นความรู้สึกหลอนจากการใช้ยา หรือผลจากการที่ประสาทถูกกระตุ้นจากเคมีซึ่งจะให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ แต่โดยแท้จริงแล้ว จิตก็ยังพยายามเสพของเดิมๆ คือเสพความรู้สึกว่า ฉันมีตัวตน

 

ความรู้สึกว่าฉันมีตัวตน จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับความรัก ความใส่ใจ ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ซึ่งสามารถดับความเหงาได้

 

สิ่งที่เป็นเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อถึงในบันทึกนี้ก็คือ ความเหงาสามารถดับได้ด้วย "ความรู้สึกตัว" หรือสติซึ่งพระพุทธองค์บรรยายไว้เป็นขั้นตอนโดยละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตร และความรู้สึกตัวนี้เองที่เป็นฐานในการดับความทุกข์ทั้งปวงลงได้อย่างชะงัดชนิดที่ไม่กลับมาเกิดอีก โดยขั้นตอนการสร้างสตินี้ไม่เกี่ยวข้องกับการกราบไหว้ขอพรใดๆ เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้ สร้างได้ด้วยการอบรมที่เหมาะสม อันจะให้ผลอย่างมหัศจรรย์โดยไม่ต้องเทงบไปทำคู่มือวัยใสเพื่อแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแต่อย่างใดทั้งสิ้น 

 

เหตุน่าสลดของความฟอนเฟะในสังคมไทย เกิดจากการที่ฝ่ายที่ดูแลกำกับการศึกษาขาดความรู้ความเข้าใจในประโยชน์ใหญ่หลวงของสติ ซึ่งจะว่าไปก็คือการปฏิบัติอันเป็นพื้นฐานอย่างยิ่งและเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา จนถึงกับถอดวิชาพระพุทธศาสนาออกจากการเป็นวิชาบังคับ แต่เหตุที่เกิดมาแต่เดิม คือฝ่ายพระสงฆ์เองก็เข้าไม่ถึงความจริงข้อนี้ ฆราวาสก็ยิ่งเข้าไม่ถึง องค์ความรู้ว่าสติมีประโยชน์ต่อความสงบ ความสุข ความเจริญทางจิตใจจึงค่อยๆกร่อนหายไปจากการขาดช่วงในการปฏิบัติ การขาดการถ่ายทอดภูมิปัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ ว่ามีผลต่อความสุข ความสงบร่มเย็นในสังคมอย่างไร

 

หวังจะเห็นผู้มีปัญญาจะมีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เริ่มที่การทำความเข้าใจจากการทดลองปฏิบัติ ว่าของดีที่เรามีมาตลอดและประกาศตัวเป็นเมืองพุทธ ดีอย่างไรโดยให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จริงจังกับการหาคำตอบจนสามารถดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง แล้วจึงผลักดันสิ่งนี้ ช่วยกันสร้างเหตุแห่งความสงบ ความสุขที่แท้จริงของสังคมให้กลับมา ซึ่งต้องเริ่มที่ผู้ที่มีความรู้ มีความใส่ใจจะทำสังคมให้ดีขึ้น ทำความรู้จักกับเครื่องมือ และผลักดันสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานของการศึกษาเป็นลำดับแรก แล้วค่อยส่งเสริมผลักดันออกไปสู่ภาคประชาชนในลำดับถัดไป

 

การฝึกสติที่เป็นรูปธรรมและวัดผลได้ เกิดขึ้นแล้วที่โรงเรียนวิถีพุทธในจังหวัดนครสวรรค์ มีเยาวชนของชาติได้เห็นถึงประโยชน์ของการเจริญสติแล้วเป็นจำนวนพัน หวังว่าจะมีผู้ที่มีความหวังดีต่อส่วนรวมช่วยกันไปศึกษา ทำความเข้าใจถึงกลไกในการเจริญสติด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง และเมื่อเข้าใจถ่องแท้แล้ว จะช่วยกันขยายผลของการเจริญสติออกไปในวงกว้างต่อไปครับ

 

_/|\_

 By P'Jojo


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.