เก็บตกในทางธรรมกับนายโจโจ้
บทสัมภาษณ์โดย ตันหยง และ วิมุตติยา
จากนิตยสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ ๑๓
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ทีมสัมภาษณ์คือ ตันหยง และน้อง วิมุตฺติยา ก็ได้มาขอสัมภาษณ์แขกรับเชิญคนแรกของเราคือคุณพัฒน์หรือนายโจโจ้ในลานธรรมของน้อง ๆ ค่ะ
ก่อนอื่นเลยก็คงต้องขอเกริ่นประวัติส่วนตัวของคุณพัฒน์สักนิดค่ะ
คุณโจโจ้ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัทส่วนตัวกับหุ้นส่วนอีกสองท่าน สาขางานในด้านการออกแบบการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์และวงจรอิเลคทรอนิกส์ที่ใช้ในงานกลางแจ้งเช่น เก็บเงิน บริหารการจราจรค่ะ
Q: สวัสดีค่ะ คุณโจโจ้ จากที่รู้จักกับคุณโจโจ้มาเกือบสี่ปีเนี่ย ทำให้ทราบว่าคุณโจโจ้เป็นคนอารมณ์ดี และมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอในเวลาที่พบเจอ แล้วก็เป็นคนที่ตัดสินใจอะไรค่อนข้างว่องไว ชัดเจน มีน้ำหนัก (มีเหตุมีผล) ไม่ทราบว่าจะแบ่งปันเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตให้พวกเราที่อ่านนิตยสารธรรมะใกล้ตัวนี้ด้วยได้บ้างมั้ยคะ
A: เรื่องยิ้มแย้มและทำอะไรว่องไวนี่เป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กครับ แต่เดิมนั้นไวแต่ไม่มีน้ำหนัก รวมทั้งขาดความชัดเจนด้วย เรียกว่ามั่วดูจะเหมาะสุดครับ (หัวเราะ) ซึ่งแน่นอนว่า ได้ก่อกรรมต่าง ๆ ไว้มากมาย ทุกวันนี้กรรมพวกนั้นก็ยังทะยอยส่งผลอยู่ (หัวเราะ)
Q: แล้วทำอย่างไรจึงทำให้มีบุคลิกหนักแน่นและชัดเจนแบบทุกวันนี้คะ (นิสัยตอนเด็ก ๆ ที่เล่ามาช่างแตกต่างจากปัจจุบันเชียว)
A: พอเมื่อมาได้ปฏิบัติภาวนาด้วยวิธีการดูจิตไปได้ระยะหนึ่งจิตก็เริ่มตั้งมั่นขึ้น เป็นสมาธิมากขึ้น ความเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามจริงเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน ความฟุ้งซ่านหลงติดในความคิดปรุงแต่งของตนเองค่อย ๆ ลดน้อยลง ยิ่งภาวนาไป ศีลก็มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ จนย้อนกลับมาเป็นเหตุให้ความเห็นทั้งภายในและภายนอกชัดเจนขึ้น เมื่อความเห็นภายในชัดเจนขึ้น ความรู้จักตนเองก็มากขึ้น เป็นเหตุให้รู้จักผู้อื่นชัดเจนขึ้น
ความเห็นที่แสดงจึงตั้งอยู่บนความชัดเจน เมื่อข้อมูลชัดเจน การตัดสินใจจึงชัดเจน จึงถูกมองไปว่ามีน้ำหนัก เพราะตั้งอยู่บนฐานของความเห็นที่ชัดและเป็นกลาง ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลังที่เริ่มมาปฏิบัติภาวนาแล้วทั้งสิ้นครับ
Q: พวกเราทราบว่า คุณโจโจ้เคยเป็นแคทอลิกมาก่อน แต่ทำไมถึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธคะ
A: อกหักแล้วหาคำตอบในคริสตศาสนาไม่พบ จึงไปหาทางอื่นหลายทาง เช่นราชาโยคะ บาไฮ พลังจักรวาล การสั่งจิตใต้สำนึก ฯลฯ จนรู้จักวิธีแก้เหงาวิธีแรกด้วยการช่วยคนที่กำลังจมอยู่กับทุกข์ จึงไปเสพติดการทำบุญด้วยการช่วยคนที่ติดอยู่ในความทุกข์อยู่หลายปี แต่ก็กลายเป็นเหตุที่ส่งให้มาพบพุทธศาสนา
คือได้พบอดีตคุณสันตินันท์หรือพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโชในปัจจุบันนี้ พร้อมทั้งคุณดังตฤณที่พันทิปด็อทคอม ได้ทั้งสองท่านสอนจนค่อย ๆ เดินมาถึงปัจจุบันนี้ครับ
ทีมสัมภาษณ์: จากตรงจุดนี้ ท่านผู้อ่านจะคิดเหมือนพวกเรามั้ยคะว่า คน ๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยไปในทิศทางที่เป็นกุศลมากขึ้นได้หลังจากที่เค้าได้มาปฏิบัติธรรม (ทำทาน รักษาศีล และภาวนา) ค่ะ
Q: หนังสือและซีดีธรรมะที่เก็บไว้ท้ายรถมีไว้เพื่อแจกหรือเปล่าคะ? แล้วมีหลักการแจกอย่างไรบ้างคะ?
A: ตอบแบบหลักการก็คือ เลือกดูคนที่มีจิตใจละเอียดพอที่จะเห็นและรองรับสิ่งที่เป็นนามธรรม และมีความสนใจสงสัยเกี่ยวกับชีวิต ซึ่งแสดงออกอยู่ตลอดเวลาในคำพูด ท่าทางอยู่แล้ว ว่าคนแต่ละคน แสวงหาอะไร หลักสังเกตอย่างง่ายก็คือ คนเหล่านี้จะมีความละเอียดอ่อนในการสังเกต มีความรอบคอบในการตัดสินใจ ไม่มองสิ่งต่าง ๆ ผิวเผินเพียงเปลือกนอก
Q: ผลที่ได้รับจากการแจกหนังสือและซีดีนั้นมีอะไรบ้างคะ?
A: ผลที่เกิดทันทีคือความอิ่มเอิบเบิกบานในการให้ ผลที่เห็นได้ในเวลาต่อ ๆ มาคือความสามารถในการรับและเข้าถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเส้นทางธรรมโดยไม่ต้องแสวงหา คือได้มาเองโดยไม่ต้องออกแรงเหนื่อยครับ
Q: ถ้ามีคนสนใจอยากรับหนังสือและซีดีธรรมะตรงทางไปแจกต่อเหมือนคุณโจโจ้บ้าง จะติดต่อขอรับหรือร่วมพิมพ์ได้ที่ไหน?
A: ส่วนถ้ามีคนสนใจอยากรับหรือร่วมพิมพ์นั้น แนะนำให้ไปอ่านในลานธรรม (http://www.larndham.org) ห้องธรรมทานและสมาชิกสัมพันธ์ดูครับ มีคนพิมพ์แจกอยู่เรื่อย ๆ ในราคาถูกอยู่แล้ว :-)
Q: ตอนนี้อยากให้คุณโจโจ้เล่าเกี่ยวประวัติชีวิตส่วนตัวในการทำงานบ้างค่ะ
A: เริ่มทำธุรกิจเพราะตอนเรียนจบแล้วไม่อยากทำงานที่บ้านครับ เลยหาเรื่องไปทำงานข้างนอก ก็เลยเจอเพื่อนที่ชวนกันไปตั้งบริษัท โดยคุณพ่อคุณแม่ช่วยออกทุนให้ ทีแรกไม่ได้คิดเรื่องรวยเลย ทำแค่เพราะมีเพื่อนชวนทำและเห็นว่าคงสนุก แต่พอทำไป ๆ ก็เห็นว่างานชักจะโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีความคิดจะให้ตัวเลขที่ตั้งไว้เล่น ๆ ตอนนั้นก็คือ ถ้าวันไหนมีเงินถึงระดับนึงที่เราอยู่ได้แล้ว ก็จะยกเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เอาไปใช้เพื่อคนอื่น/ส่วนรวม แต่ดูแล้วยังไม่เห็นแววจะมีมาก ๆ ในเร็ว ๆ นี้เพราะมีเท่าไหร่ก็แจกออกไปจนเกลี้ยง เลยไม่มีโอกาสมี ต้องเปลี่ยนนิสัยก่อน ซึ่งก็กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงครับ (หัวเราะ)
Q: ใจกว้างจังนะคะ =) ได้ฟังคุณโจโจ้พูดเรื่องการทำทานมาข้างต้น พวกเราขอถามต่อนะคะว่า แล้วอย่างนี้คุณโจโจ้เคยให้เงินใครจนหมดกระเป๋าหรือเอาเงินไปช่วยคนที่ลำบากจนตัวเองไม่มีเงินเหลือบ้างไหม?
A: เป็นประจำครับ เทหมดกระเป๋านี่บ่อยจนจำไม่ได้แล้ว ส่วนช่วยจนตัวเองไม่มีเงินเหลือนี่ มีเป็นประจำ อย่างเดือนนี้ก็ใช่ครับ เอาไปปลดหนี้ให้เพื่อน หรือให้คนที่กำลังลำบาก แต่ยังไงเราก็ยังมีพอกินครับ สังเกตได้จากน้ำหนักที่ยังไม่ค่อยยอมลดเลย (หัวเราะ)
Q: แล้วผลที่ได้รับจากการทำทานในลักษณะนั้นคืออะไรคะ?
A: ความอิ่มเอิบใจครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผลอื่นที่น่าจะเกิดก็คือ มีคนมาช่วยเหลือโดยเราไม่ได้ร้องขอเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ชีวิตสบายมากครับ :-)
Q: แล้วการให้จนหมดกระเป๋าแบบนี้ไม่ถือว่าขัดกับหลักการให้ของพระศาสดา หรือหลักที่ว่า “การช่วยเหลือคนนั้น ถ้าสิ่งใดทำแล้วเราได้ประโยชน์ เขาได้ประโยชน์ ถือว่างาม สิ่งใดทำแล้วเราไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์ ส่วนเขาได้ประโยชน์ ถือว่างาม แต่ถ้าสิ่งใดที่ทำแล้วเราเสียประโยชน์ ส่วนเขาได้ประโยชน์ ถือว่าไม่งาม ไม่ควรทำ” หรือคะ?
A: ปัจจุบันยังไม่ได้รู้สึกว่าช่วยจนตัวเองลำบากครับ เพียงแต่ให้จนหมด ไม่เก็บไว้เป็นของตัวเอง กำลังอยู่ระหว่างการปรับเข้าสู่สมดุลครับ จากเดิมให้จนหมดตัว ก็กำลังปรับเป็นให้แบบกำลังดี คือมีเหลือเก็บ มีให้พ่อแม่บ้าง เดิมไม่ได้รู้สึกว่าเราเสียประโยชน์ แต่ตอนนี้ก็เริ่มเห็นเหมือนกันว่าช่วยเกินพอดีไป
Q: ประเด็นคืออาการทางใจ ถ้าให้แล้วรู้สึกว่าลำบากใจจึงถือว่าไม่ถูกหรือคะ?
A: ความถูกคือถูกเป้าครับ เป้าส่วนตัวพี่คือให้แล้วจิตเป็นกุศล ถ้าให้แล้วทำให้ตัวเองลำบาก เศร้าหมอง หดหู่ นั่นคือผิด แต่ถ้าให้แล้วใจสบายโดยไม่ทำให้เกิดความเศร้าหมองจากการต้องไปตามแก้ปัญหาในภายหลัง ก็เป็นการให้ที่ดีแล้วครับ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่ากำลังปรับ กำลังหัดเก็บแล้วครับ (หัวเราะ) เริ่มมีบทเรียนที่ธรรมะจัดสรรมาให้เห็นความจำเป็นของการเก็บแล้ว
Q: ค่ะ ทีนี้ย้อนกลับมาเรื่องการทำงานต่อนะคะ คุณโจโจ้ใช้หลักอะไรคะในการบริหารงานจึงประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้เพราะหลาย ๆ คนที่อ่านธรรมะใกล้ตัวก็ยังเป็นฆราวาสที่ต้องทำงานกันอยู่ เผื่อจะได้รับประโยชน์ในด้านการทำงานด้วย
A: หลักที่ใช้ในการทำงานคือพรหมวิหารธรรม โดยเฉพาะเมตตาครับ ทำเพื่อให้ทุกคนมีความสุข เพื่อนร่วมงานมีความสุข ลูกค้ามีความสุข ตัวเองมีความสุข นอกจากนั้นก็เห็นว่า ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใจเป็นสุขแล้วสิ่งที่ดี ๆ จะตามมาเอง ที่เหลือนั้นไม่ต้องกังวล
(หมายเหตุ: พรหมวิหาร หรือ ธรรมประจำใจอันประเสริฐ มี ๔ อย่าง อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สามารถไปหาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.84000.org)
Q: แล้ววิถีชีวิตทางธรรมและทางโลกไม่ขัดกันหรือคะ? ดำเนินชีวิตอย่างไรถึงรักษาศีลได้บริสุทธิ์คะ อยากให้ลองเล่าให้พวกเราฟังหน่อยค่ะ
A: ไม่ขัดกันครับ เหตุคือโลกนั้นตั้งอยู่ได้ก็เพราะธรรม ในขณะที่ใจที่ห่างธรรมเท่านั้นที่หลงไปยึดและฝืนธรรม ทุกข์จึงเกิดขึ้นจากความต้องการฝืน แล้วมันไม่ยอมเป็นหรือยากที่จะเป็นไปตามที่ต้องการ และที่รักษาศีลได้บริสุทธิ์นั้นเพราะความเข้าใจว่าการทำกับคนอื่นอย่างไร ก็คือการทำกับตนเองอย่างนั้น
Q: เพราะอะไรคุณโจโจ้ถึงพูดว่าการทำกับคนอื่นอย่างไรก็คือการทำกับตนเองอย่างนั้นคะ?
A: ที่เจอมาทั้งชีวิต เห็นอย่างนั้นจริง ๆ ครับ ที่เคยทำกับคนอื่นไว้ ไม่ว่าจะพ่อ แม่ คนใกล้ชิดตั้งแต่เด็กมาจนโต ทำกับเขาไว้ยังไง ก็ต้องเจอเขามาทำกับเราแบบเดียวกันกับที่เราเคยทำไว้เป๊ะ ๆ เลย เพียงแต่มันผ่านมานานแล้ว หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกต แต่อย่างพี่นี่ หลังจากได้ครูบาอาจารย์เตือนหลายครั้งเข้า วันหนึ่งก็ฉุกใจคิด จากเดิมที่เห็นว่า มาทำอย่างนี้ (กับเรา) ได้ยังไง ก็กลายเป็นว่า เอ๊ะ นี่เราก็เคยทำแบบนี้เหมือนกัน คือมองตัวเองก่อนจะตำหนิคนอื่น แล้วเก็บเอาไว้เป็นบทเรียนว่า อย่าไปทำอย่างนี้กับใคร เพราะคนที่โดนแล้วจะรู้สึกอย่างที่เราเองกำลังรู้สึกอยู่ในใจตอนนี้นั่นแหละ
และเห็นต่อไปด้วยว่า ถ้าโต้ตอบ ก็เป็นการสร้างเหตุเพิ่มให้ต้องไปรับในอนาคตต่อไปอีก ดังนั้น รับไปให้หมดแล้วเรียนรู้ดีกว่า ว่าการโดนแบบนี้จะรู้สึกแบบนี้ ดังนั้น อย่าไปโต้ตอบ รับไปให้หมด ส่วนถ้าเป็นงาน ก็แก้ปัญหาเฉพาะเรื่องงานไป ไม่ต้องไปด่า ไม่ต้องไประบายอารมณ์ พอทำแบบนี้ คนที่ทำผิดเขารู้ของเขาเองว่าเขาผิดพลาด ยิ่งถ้าเราไม่ด่า กลายเป็นว่าเขาจะยิ่งเกรงใจ แต่ก็เพราะเราก็เกรงใจเขาเหมือนกัน (ยิ้ม) กลายเป็นการสร้างนิสัยที่ดีในการทำงานร่วมกันไป คือทั้งไม่กล่าวโทษกันและทั้งร่วมกันแก้ปัญหา
Q: การปฏิบัติธรรมมีช่วยส่งเสริมในการทำงานทางโลกอย่างไรคะ?
A: ช่วยให้เข้าใจจิตใจตนเอง ซึ่งส่งให้เข้าใจคนอื่นได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกมาก ว่าแต่ละคนรู้สึกอะไรอย่างไร ทำให้การบริหารงานเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะใจคนที่ทำงานใต้บังคับบัญชามีความสบายครับ
Q: แล้วคุณโจโจ้มีจุดมุ่งหมายอย่างไรในชีวิตนี้ ลองเล่าให้ฟังสั้น ๆ ได้มั้ยคะ
A: mission คือก้าวหน้าในทางธรรมและในการใช้ชีวิตทางโลกจนกว่าเพศฆราวาสจะรองรับไว้ไม่ได้ครับ
Q: ไม่ทราบว่าคุณโจโจ้มีคำแนะนำให้แก่ผู้อ่านในวัยหนุ่มสาวยุคข่าวสาร อย่างไรบ้างคะ?
A: คำแนะนำสำหรับหนุ่มสาวยุคนี้คือ อยากมีความสุข อยากเด่น อยากดัง หรืออยากได้หรืออยากเป็นอะไรก็ตาม คำสอนที่พระศาสดามอบไว้ มีคำตอบและนำไปใช้ได้ทุกอย่างครับ (ไม่จำกัดเฉพาะคนหนุ่มสาว) หมั่นทำทาน จะได้ความสุขในเบื้องแรกจากการให้ ที่ถ้าไม่เคยทำทานมาก็จะไม่เคยเจอ และเมื่อรู้จักทานดีแล้ว ถ้าได้รักษาศีลเข้า ก็จะรู้ว่าสุขจากการมีศีล เป็นสุขจากความสงบที่ละเอียดอ่อนและอยู่ตลอดเวลาที่มีศีล คืออยู่นานกว่าสุขจากทาน เมื่อรักษาได้นานเข้า ก็จะทำให้เกิดความเสียดายศีล คือเสียดายความสงบของใจที่เกิดแล้วขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และถ้ายังไม่ทิ้งทานที่มาจากกรุณา ทานนั้นก็จะเป็นเหตุให้เข้าถึงการภาวนา ซึ่งเมื่อได้เข้าใจแล้วว่าการภาวนาดียังไง คน ๆ นั้นก็จะไม่ทิ้งการภาวนาเลยไม่ว่าอยู่ในอิริยาบทใดหรือเวลาไหนเพราะรู้ว่าเป็นเหตุของความสุขที่ละเอียดปราณีตยิ่งกว่าสุขจากสิ่งกระทบภายนอกจริง ๆ
ค่ะทางนิตยสาร/ทีมสัมภาษณ์ต้องขอขอบคุณคุณโจโจ้ที่เสียสละเวลามาพูดคุยกับเราในวันนี้ถึงแนวทางในการดำเนินชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ ขอบคุณค่ะ ถึงตรงนี้ พวกเราก็คงจะเห็นแบบที่ผู้สัมภาษณ์เห็นนะคะว่าการศึกษาพระพุทธศาสนา และการนำการ ให้ทาน รักษาศีล และภาวนามาใช้ในชีวิตประจำวัน มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตไม่น้อยเลย
อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้ที่ http://dungtrin.com/mag/?13.life