รักจะสร้างสุข หรือรักจะสร้างทุกข์
ที่ใคร ๆ คิดอยากจะมีความรักก็เพราะอยากมีความสุข แต่แท้จริงแล้วลองสำรวจตนเองดูว่ามีรักแต่ละครั้ง มันจะมีทุกข์พ่วงมาด้วยเสมอหรือไม่?
ความรักเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์ที่เราไม่สามารถหาเหตุผล บางคนมีรักแล้วทุกข์มาก บางคนมีรักแล้วทุกข์น้อย น้อยคนไม่รู้ว่าเป็น เพราะกรรมที่เราทำมันส่งผลให้เรามีใจผูกยึดกับใคร
“ด้วยกรรมเก่า” จะส่งให้เรามีสุขและทุกข์ เช่น เคยไปหลอกใคร ให้เจ็บช้ำ กรรมก็จะส่งผลล่อลวงใจให้ไปหลงรักคนที่จะมารานน้ำใจให้เราทุกข์แบบเดียวกัน
“ด้วยกรรมปัจจุบัน” จะส่งให้เรามีทุกข์มากขึ้นหรือน้อยลง ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนผสมกิเลสในใจและความยึดมั่นถือมั่น
เพราะเรามีโมหะจึงพาใจให้ไปรักอย่างไม่มีเหตุผล
เพราะเรามีราคะจึงทำให้ใจเราเข้าไปชอบ ไปหวง ติดในรูป ชอบในเสียง และอื่น ๆ
เพราะเรามีโทสะจึงเกิดความไม่พอใจเมื่อต้องสูญเสีย หรือรู้สึกว่าถูกแย่งไป
เพราะเรายึดมากจึงทุกข์มาก ยึดน้อยจึงทุกข์น้อย
แล้วการทำตามอำนาจกิเลสเพื่อให้ได้ยึดถือครอบครองนั้นจะทำให้ตนและคนที่เราบอกว่ารักนั้นเป็นทุกข์หรือสุข ถ้ามันทำให้เราหรือคนที่เรารักเป็นทุกข์ เราจะเรียกการทำตามอำนาจกิเลสนั้นว่า ความรักได้หรือ?
หลายคนอยากมีความรักที่มีความสุข แต่ก็ไม่เข้าใจว่าความสุขสร้างอย่างไร อันนี้อยากให้ตั้งคำถามย้อนกลับไปก่อนว่าเมื่อไม่รู้ว่าความสุขคืออะไรแล้วจะสร้างได้หรือ?
ถ้าใจที่มืดเป็นทุกข์
ถ้าใจที่เร่าร้อนเป็นทุกข์
ถ้าใจที่หนักอึ้งเป็นทุกข์
เมื่อเรารู้ที่มาของอาการเหล่านั้นได้ ละเหตุได้ ใจก็เป็นสุข
อุบายขจัดทุกข์ในรักก็คือ การทำให้จิตเข้าใจด้วยการสั่งสมการ มองเข้ามาในตนเองเวลาทุกข์ ทุกข์เพราะเรื่องอะไรก็แปลว่าเคยทำกรรมให้คนอื่นทุกข์มาแบบนั้น ปัจจุบันเป็นผลของอดีต รู้เหตุแล้วก็ขัดเกลานิสัยตนเพื่อจะได้ไม่ต้องไปสร้างเหตุแล้วรับผลอย่างเดิม ๆ ไปเรื่อย ๆ
ดูให้ลึกขึ้น ก็ให้ย้อนดูว่าทุกข์เพราะกิเลสตัวใด
ทุกข์เพราะความอยากของเราใช่ไหม
ทุกข์เพราะความยึดของเราเองใช่ไหม
เห็นบ่อย ๆ ใจก็จะเริ่มคลาย ว่าสิ่งเหล่านี้ทำแล้วเป็นทุกข์ ก็อย่า ไปทำตามใจมันสิ
อุบายสร้างรักให้เป็นสุข ถ้ารักอย่างกิเลสแล้วทุกข์ก็รักอย่างธรรม พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงความรักที่ไม่เป็นทุกข์คือ ได้แก่ การไม่เบียดเบียน และความรักอย่างพรหม ได้แก่ พรหมวิหาร ๔ คือ
มีเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข
กรุณา ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตา ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี
อุเบกขา คือ เมื่อทำอย่างเต็มที่แล้วก็วางใจในผล มีใจเป็นกลาง ไม่หลงไปในทางยึดว่าจะต้องได้ผลดังใจ
นอกจากนี้ยังมีอุบายขั้นพื้นฐานอีกอย่างที่เป็นการขัดเกลาจิตใจ ไม่ใช่แต่จะแก้ปัญหาทุกข์เรื่องความรักได้ แต่ครอบจักรวาลแก้ปัญหาความทุกข์ทางใจได้ทุกเรื่อง ก็คือ
การสอนจิตให้ฉลาดด้วย การทำทาน รู้จักให้
รักษาศีล ให้จิตรู้จักระงับความอยาก
ทำสมาธิ ให้ใจสงบจากความฟุ้งซ่านและก่อกวนของกิเลส
และการทำวิปัสสนา เพื่อให้ใจเลิกสำคัญผิดยึดมั่นถือมั่น เพราะสิ่งทั้งหลายย่อมเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถอยู่ในสภาพเดิม และไม่ใช่ตัวตนที่เราสามารถบังคับได้ (ทั้งตัวเขา และความรู้สึกเราที่จะเป็นไปตามกรรมเพราะความคุ้นชิน)
สุขอย่างที่มีเครื่องล่อด้วยกิเลสให้เข้าไปยึดจะส่งผลให้เราทุกข์ภายหลัง แตกต่างจากสุขอย่างธรรมที่ปราศจากมลทิน และเป็นอิสระ ทุกข์มากก็ขัดเกลาไป ขัดแรง ๆ หน่อย ยิ่งกิเลสเบาบาง ความยึดติดน้อยลง จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น ๆ
ทุกข์มันเกิดจากใจเราคิดเห็นไม่ตรงไปสร้างกรรมที่ไม่ดีก่อน พอเกิดผลทางใจก็ไม่รู้จักวิธีรักษา
ถ้ารู้เหตุรู้ผลอย่างนี้แล้ว เราก็แก้ทุกข์ของเราได้ สร้างรักให้เราและใคร ๆ มีความสุขได้ไม่จำกัด นี่แหละ สุขทุกข์อยู่ที่ใจเราสร้างเองรับเอง
Ying LeoLino