จากผู้อ่าน ถามตอบเรื่องความรัก by P'jo ตอนที่ 2
ถาม: เมื่อก่อนพี่โจ้ก็เคยเป็นคนใจร้อนใช่ไหมคะ แล้วพี่โจ้เปลี่ยนเป็นเมตตามากๆยังไง อยากให้พี่โจ้เล่าให้ฟัง มันมีจุดเปลี่ยนไหม “ขอวิธีปฏิบัติ” ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ ฝึกสมถะ(ทำสมาธิ)เพิ่มจะช่วยให้เย็นขึ้นไหมคะ
พี่โจ้ตอบ: เปลี่ยนเมื่อเห็นว่ากรรมส่งผลที่ความรู้สึก และนึกต่อได้ว่า ถ้าเรารู้สึก แปลว่าเราต้องเคยทำให้ใครรู้สึกอย่างนี้มาก่อนแน่นอน
และการน้อมรับผลและตั้งใจจะไม่ทำให้ใครรู้สึกอย่างนี้อีกเท่านั้นที่จะทำให้วาระของกรรมนี้จบลงได้ ที่ทำให้ก้มหัว น้อมใจรับโดยไม่ตอบโต้ และเห็นว่าเขาเป็นเหยื่อของกรรมที่เราทำเอาไว้ต่างหาก จึงต้องมาทำหน้าที่นี้ เรียกว่าเขาซวยเพราะกรรมที่เราทำเอาไว้ ไม่ได้เห็นว่าเขามาทำเราโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ :-)
การฝึกสมถะช่วยให้เย็นขึ้นชั่วคราว ย้ำว่าชั่วคราวครับ พอหมดกำลังของสมถะ ก็จะระเบิดสิ่งที่อัดๆไว้ระหว่างนั้นออกมาแรงกว่าเดิมอีก ในขณะที่ถ้าทำสมถะแล้วเอากำลังสมถะมาเจริญวิปัสสนาให้เห็นจริงว่าจิตทะยานไปของเขาเองไม่มีใครสั่ง เห็นแบบนี้ทีอัตตาก็จะบางลงไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งจิตเขายอมจำนนต่อความจริงว่าความเป็นเรามันไม่มีและมีไม่ได้ จากเดิมที่โมโหโกรธาก็เพราะรู้สึกว่าเขามาละเมิดเรา ละเมิดความรู้สึกของเรา ละเมิดความเห็นของเรา จะเอาของเราไป จะขวางไม่ให้เราได้ของที่ต้องเป็นของเรา ฯลฯ
โดย นายโจโจ้
ผมเฝ้าสังเกตเรื่องนี้มาตลอด 15 ปีที่ผ่านมาจนแน่ใจว่า รากเหง้าของปัญหาสารพัดในสังคมทุกสังคม มาจากความเหงา
ถ้าจะนิยามความเหงาว่าคือความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน คือต้องให้มีคนโน้นคนนี้มาแสดง ว่าฉันมีตัวตน คือฉันสำคัญ น่ารัก น่าใส่ใจ น่าคบหา ด้วยการแต่งหน้าตาให้ดูดี แต่งตัวให้ดูเนี้ยบ แสดงออกว่าเก่ง มีความสามารถ หรือมีเงินมาก ใส่นาฬิกาแพง ใช้รถราคาแพง ตลอดไปจนเบ่งใส่คนอื่นเพื่อแสดงตัวว่าฉันเหนือกว่า แจ๋วกว่า ซึ่งถ้าเรียงตั้งแต่ความเหงาขั้นพื้นฐานแล้ว จะพบว่า การดับความเหงาโดยวิธีทั่วๆไปจะกระทำโดยการหาสิ่งกระทบอายตนะ (เครื่องดึงดูด) ทั้ง 5 คือตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นลำดับแรก นี่เป็นการเสพความรู้สึกว่าฉันมีตัวตนจากการมีสิ่งกระทบอายตนะเหล่านั้น ที่ขยายความได้เป็นการดูหนัง ฟังเพลง ใช้น้ำหอม กินอาหาร หรือเสพสิ่งสัมผัสที่น่าพึงใจทางกาย
จากนั้น เมื่อเสพสิ่งพื้นฐานจนเกิดความคุ้นชิน สิ่งกระทบอายตนะทีละ 1 หรือ 2 เริ่มดับความเหงาไม่ไหวเพราะชินกับมัน ก็จะเริ่มมองหาสิ่งกระทบที่มากจำนวนอายตนะขึ้นไปหรือมีคุณภาพสูงขึ้น เช่นหนังจอยักษ์ หนัง High Definition หรือ Bluray (ผมก็ดู 555) หรือเครื่องเสียงที่ดียิ่งๆขึ้นไป ลำโพงราคาแพง ให้เสียงสมจริง อาหารราคาแพง ปรุงแบบพิสดาร หรือสัมผัสที่รุนแรงมากขึ้นและตกกระทบอายตนะที่มากยิ่งขึ้น เช่นเพศสัมพันธ์
ถัดจากนั้น เมื่อคุ้นชินกับการเสพผ่านอายตนะตามปกติครบถ้วนแล้ว ผู้ที่เกิดความคุ้นชินเหล่านั้นจะแสวงหาสิ่งกระทบ(ผัสสะ)ที่แรงยิ่งๆขึ้นไปเช่น ภาพและเสียงที่รุนแรง อาหารที่แปลกพิสดารมากขึ้นไป อาหารรสจัด รวมไปจนถึงเพศสัมพันธ์วิตถารพิสดาร หรือยาเสพติด ซึ่งให้สิ่งกระทบทางอายตนะที่ 6 คืออายตนะใจ เช่นความรู้สึกหลอนจากการใช้ยา หรือผลจากการที่ประสาทถูกกระตุ้นจากเคมีซึ่งจะให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ แต่โดยแท้จริงแล้ว จิตก็ยังพยายามเสพของเดิมๆ คือเสพความรู้สึกว่า ฉันมีตัวตน
ความรู้สึกว่าฉันมีตัวตน จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับความรัก ความใส่ใจ ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง ซึ่งสามารถดับความเหงาได้
สิ่งที่เป็นเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อถึงในบันทึกนี้ก็คือ ความเหงาสามารถดับได้ด้วย "ความรู้สึกตัว" หรือสติ ซึ่งพระพุทธองค์บรรยายไว้เป็นขั้นตอนโดยละเอียดในมหาสติปัฏฐานสูตร และความรู้สึกตัวนี้เองที่เป็นฐานในการดับความทุกข์ทั้งปวงลงได้อย่างชะงัดชนิดที่ไม่กลับมาเกิดอีก โดยขั้นตอนการสร้างสตินี้ไม่เกี่ยวข้องกับการกราบไหว้ขอพรใดๆ เป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนได้ สร้างได้ด้วยการอบรมที่เหมาะสม อันจะให้ผลอย่างมหัศจรรย์โดยไม่ต้องเทงบไปทำคู่มือวัยใสเพื่อแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เหตุน่าสลดของความฟอนเฟะในสังคมไทย เกิดจากการที่ฝ่ายที่ดูแลกำกับการศึกษาขาดความรู้ความเข้าใจในประโยชน์ใหญ่หลวงของสติ ซึ่งจะว่าไปก็คือการปฏิบัติอันเป็นพื้นฐานอย่างยิ่งและเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา จนถึงกับถอดวิชาพระพุทธศาสนาออกจากการเป็นวิชาบังคับ แต่เหตุที่เกิดมาแต่เดิม คือฝ่ายพระสงฆ์เองก็เข้าไม่ถึงความจริงข้อนี้ ฆราวาสก็ยิ่งเข้าไม่ถึง องค์ความรู้ว่าสติมีประโยชน์ต่อความสงบ ความสุข ความเจริญทางจิตใจจึงค่อยๆกร่อนหายไปจากการขาดช่วงในการปฏิบัติ การขาดการถ่ายทอดภูมิปัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ ว่ามีผลต่อความสุข ความสงบร่มเย็นในสังคมอย่างไร หวังจะเห็นผู้มีปัญญาจะมีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เริ่มที่การทำความเข้าใจจากการทดลองปฏิบัติ ว่าของดีที่เรามีมาตลอดและประกาศตัวเป็นเมืองพุทธ ดีอย่างไรโดยให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จริงจังกับการหาคำตอบจนสามารถดับทุกข์ได้ด้วยตนเอง แล้วจึงผลักดันสิ่งนี้ ช่วยกันสร้างเหตุแห่งความสงบ ความสุขที่แท้จริงของสังคมให้กลับมา ซึ่งต้องเริ่มที่ผู้ที่มีความรู้ มีความใส่ใจจะทำสังคมให้ดีขึ้น ทำความรู้จักกับเครื่องมือ และผลักดันสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นในโครงสร้างพื้นฐานของการศึกษาเป็นลำดับแรก แล้วค่อยส่งเสริมผลักดันออกไปสู่ภาคประชาชนในลำดับถัดไป
การฝึกสติที่เป็นรูปธรรมและวัดผลได้ เกิดขึ้นแล้วที่โรงเรียนวิถีพุทธในจังหวัดนครสวรรค์ มีเยาวชนของชาติได้เห็นถึงประโยชน์ของการเจริญสติแล้วเป็นจำนวนพัน หวังว่าจะมีผู้ที่มีความหวังดีต่อส่วนรวมช่วยกันไปศึกษา ทำความเข้าใจถึงกลไกในการเจริญสติด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง และเมื่อเข้าใจถ่องแท้แล้ว จะช่วยกันขยายผลของการเจริญสติออกไปในวงกว้างต่อไปครับ
_/|\_
*****
อันนี้พี่สาวสรุปมาอีกที
เคยฟังพี่โจโจ้บอกไว้เมื่อนานแล้วว่า
ความเหงาเกิด เพราะความอยากมีตัวตน
"ความรู้สึกว่า ฉันมีตัวตน จะเกิดขึ้น
เมื่อได้รับความรัก ความใส่ใจ ความเอาใจใส่จากคนรอบข้าง"
เราเที่ยวแสวงหา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รูปแบบต่าง ๆ
หรือไขว่คว้าหาคนมารักใคร่ใยดีในรูปแบบต่าง ๆ
ก็เพื่อให้ได้รู้สึกว่า ยังมีตัวฉัน ฉันมีตัวมีตน ไปเรื่อย ๆ
ซึ่งเป็นวิธีดับความเหงาโดยทั่ว ๆ ไป
"สุขเกิดจากมีคนทำให้อัตตาเราพองโต
ทุกข์เกิดจากถูกทำให้อัตตาหด"
"สิ่งที่เป็นเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อถึงในบันทึกนี้ก็คือ
ความเหงาสามารถดับได้ด้วย "ความรู้สึกตัว" หรือสติ
ซึ่งพระพุทธองค์บรรยายไว้เป็นขั้นตอนโดยละเอียด
ในมหาสติปัฏฐานสูตร
และความรู้สึกตัวนี้เองที่เป็นฐานในการดับความทุกข์ทั้งปวงลงได้
อย่างชะงัด ชนิดที่ไม่กลับมาเกิดอีก"