ทุกข์เพราะอะไร
คุณผู้อ่านเคยไปดูดวงไหมคะ?
ทำไมถึงไปดูดวง?
คนส่วนใหญ่ชอบไปดูดวงเวลามีปัญหาคิดไม่ตก แล้วก็อยากรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร มีทางออกไหม
ครูบาอาจารย์เคยบอกว่า “คนเราทุกข์เพราะไม่รู้”
ความทุกข์หลายๆอย่างของเรานอกเหนือจากทุกข์เพราะไม่สมอยาก หรืออยากได้แล้วไม่ได้ ที่สุดคือทุกข์เพราะไม่รู้นี่แหละ ลองสำรวจดูว่าจริงไหม
ใครเคยทุกข์เพราะไม่รู้จะเรียนอะไร ไม่รู้จะเลือกใคร ไม่รู้จะเลิกดีไหม
ถ้าเรารู้แน่ชัดว่าเรียนอย่างนี้เหมาะกับเรา ต่อไปได้ทำงานสายที่เรียนนี้รุ่งแน่ รวยแน่ เราจะกังวลไหม ก็แค่ทำตามอย่างที่รู้ต่อไปใช่ไหมคะ
ถ้าเรารู้ว่าเลือกคนนี้แล้วไม่ดี เลิกๆไปเลย อีก2ปีข้างหน้าจะเจอคนที่ดีกว่านี้ จะลังเลที่จะเลิกไหม จะมัวหวงทุกข์อยู่ไหม
หลายครั้งเรามีปัญหาที่ความไม่รู้นี่แหละ แล้วก็มีปัญหาต่อมาว่า ไม่รู้ว่าคำตอบใดที่ถูก
ไปถามหมอดู ก็ใช่ว่าจะให้คำตอบได้แม่นยำ จะถามเพื่อน ถามพ่อถามแม่หรือใครๆ เราก็ไม่แน่ใจว่ารู้จริงป่าว
แล้วถามว่าจะมีใครบนโลกรู้ทุกอย่างตอบได้หมดไหม ญเชื่อว่าไม่มีนะคะ
เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกรรมของเรา จะเจออะไร อย่างไร เจอใครชี้นำไปทางไหน ก็ล้วนแต่กรรมกำหนด
ที่เจอมากับตัวเอง เพราะเป็นเอง และที่เห็นคนอื่นมา เวลากรรมบังตา มันก็หลอกให้เชื่อให้คิดอย่างนั้นเพื่อรับผลของกรรมไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดวาระ ใครพูดอย่างไรเราเห็นความจริงแทบไม่ได้เลย (หรือเห็นแต่ก็เป็นแนวคิดได้ แต่ทำไม่ได้) แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีสิทธิ์ทำอะไรมันดีขึ้นนะ กรรมเก่าก็ส่วนหนึ่ง แต่กรรมใหม่ที่เราเลือกทำก็ส่วนหนึ่ง
คงเคยได้ยินบ่อยๆแล้วว่า “กฎแห่งกรรมคือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
แต่หลายคนไม่เข้าใจ บอกว่าไม่เห็นจริงเลย
อันนี้อยากให้ลองพิสูจน์เองนะคะ ว่าถ้าทำถูกต้องใจเราก็สุขแล้ว
จำไว้นะคะว่า กรรมสำคัญที่เจตนา จะพูดจะทำออกไปแบบไหน ใจเป็นประธานหลักค่ะ
ทำบุญถวายสังฆทานวัดเหมือนกัน แต่เจตนาทำเพื่อติดสินบนเทวดาให้ช่วยดลบันดาลให้เราได้สมใจก็เรื่องหนึ่ง (ภาษาพระเขาเรียกทำด้วยใจที่โลภ)
ทำบุญถวายสังฆทานวัดเหมือนกัน แต่เจตนาทำด้วยความเลื่อมใสในพระธรรมคำสอน ต้องการทำนุบำรุงศาสนาก็เป็นอีกเรื่อง (อันนี้ทำด้วยใจกุศล คือให้เพื่อหวังเกื้อกูลประโยชน์ต่อผู้อื่น)
พี่ชายเคยบอกว่า “เราทำดีเพื่อให้คนอื่นมีความสุข ไม่ใช่เพื่อเป็นคนดี”
ถ้าทำดีด้วยความเข้าใจแบบนี้ ชีวิตดีขึ้นแน่ค่ะ อย่างน้อย มันเริ่มต้นสุขตั้งแต่ตอนใจคิดดีแล้ว
แต่ผลที่เป็นรูปธรรมระยะยาวเช่น ได้งานที่ถูกใจ คนที่ใช่จะมาเมื่อไหร่นั้น อันนั้นตอบเป็นระยะเวลาให้ไม่ได้ แต่ทำไปเรื่อยๆเหมือนปลูกต้นไม้ เรารดน้ำ ใส่ปุ๋ย ไปเรื่อยๆ ถึงเวลาดอกผลต้องออกแน่นอน เร็วช้าขึ้นกับว่าเรามีทุน(บุญเก่า)มาดีแค่ไหน มีหนี้(บาปเก่า)มามากแค่ไหน
พอทำดี ทำกรรมที่เป็นกุศล เป็นกรรมขาว กรรมสว่างมากๆ ถึงเวลามันคิดหาทางออกที่ใช่ได้เองค่ะ แต่ต้องทำให้มากพอด้วยความเข้าใจที่ถูก
เหนือขึ้นไปจากความรู้เรื่องกรรม มีความรู้อีกอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธควรรู้เพราะเป็นจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา
ความรู้นี้ รู้แล้วทำให้ไม่กลับมาทุกข์ซ้ำๆอีก คือความรู้เรื่องกายใจของเรา
เพราะสุขทุกข์ทุกอย่างมันตั้งต้นที่ใจ ที่เราตามหา และสร้างอะไรต่างๆก็เพื่อบำรุงบำเรอใจนี้
เราทุกข์เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง เราก็ได้แต่ทำตามๆเขาไป คิดว่าน่าจะใช่ๆ
ครูบาอาจารย์เคยบอกว่า เหมือนตอนเด็กๆคิดว่าเรียนจบได้ทำงานเป็นอิสระแล้วจะมีความสุข
ทำงานไปสักพักคิดว่าแต่งงานไปแล้วคงจะมีความสุข
แต่งงานไปแล้วมีลูกคงจะมีความสุข
จบแล้วมาทำงานใช่จะมีความสุขจริง เพราะอาจได้ทำงานที่เราไม่ได้รัก เจ้านายโหด ลูกค้าเหี้ยม เพื่อนร่วมงานแย่
แต่งงานไปแล้วอาจทุกข์หนักกว่าเดิม เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าคู่ของเราเป็นคู่เวร
มีลูกแล้วอาจยิ่งรู้สึกว่าแย่หนักเพราะลูกที่มาเกิดกับเราดันเป็นลูกเอาแต่กินเที่ยว(แย่กว่ากินนอน)
สุดท้ายก็คือวิ่งจับเงาไปเรื่อยๆ ไม่เจอความสุขจริงๆสักที
พระพุทธเจ้าท่านทรงให้คำตอบของการเข้าถึงความสุขที่สูงสุดคือการหลุดพ้นจากความทุกข์ถาวร ด้วยการเข้าใจเรื่องกายใจ และความจริงของสรรพสิ่งทุกอย่างไว้ว่าเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
คือ ทนอยู่ในสภาพเดิมไมได้ ต้องเปลี่ยนแปลง และสั่งบังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้
อย่าว่าแต่โต๊ะเก้าอี้ที่ต้องผุพัง หรือใจคนที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเลย
อารมณ์อยากได้ให้สมอยากเพราะคิดว่าสุขนั้น แท้จริงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเองได้โดยไม่ต้องสนองด้วยซ้ำ
(ถ้าอยากสุขเพราะมี มันก็จะต้องทุกข์เพราะตามหา ทุกข์เพราะพยายามรักษา ทุกข์เพราะยังไงก็ต้องเสียไป เรื่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย )
ลองทบทวนดูว่าแท้ที่จริงแล้ว ชีวิตนี้เราควรรู้อะไรเพื่อจะได้พบความสุขที่แท้จริง เพราะอย่าลืมนะว่าร่างกายเราก็จะต้องเปลี่ยนแปลง เหี่ยวเฉาและกำลังหมดลงไปตามกาลเวลาเช่นกัน หากรู้ตัวช้า ก็ต้องเสียเวลาเวียนหาสุขเพื่อทุกข์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดกาลนาน