ถ้าเราอยากมีรัก เราต้องรู้จักตนเองก่อน
ใครหลายคนคิดว่ามีใครบางคนหล่นมาจากฟ้าหรือรอดวงชะตาพาคนที่เกิดมาคู่กับเรามาเจอกัน ทั้งชีวิตเลยมีหน้าที่แค่คอย และหา
เกริ่นมาหลายบทเรื่องการสร้างเหตุกำหนดชะตาชีวิตตนเอง ว่าอยากมีความรักแบบไหนให้สร้างตนเองแบบนั้น
บทนี้จะบอกเล่าถึงเรื่องว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เข้ามานั้นใช่ตัวจริง และเหมาะสมกับเรา
เคยถามอะไรประมาณนี้กับพี่ชายค่ะ พี่ชายก็ตอบประมาณว่าเราต้องรู้จักตนเองก่อน "ถ้าเราไม่รู้จักตนเองเราจะเลือกคนที่เหมาะสมกับเราได้อย่างไร"
เวลามีความรัก เรามักมองออกข้างนอก มองว่าเขา/เธอเป็นอย่างไร อยากได้แบบนั้นแบบนี้ อยากให้เขา/เธอเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวว่าที่อยากกับที่เหมาะน่ะมันอาจเป็นคนละเรื่องกัน ความพอดีนี่มีผลมากนะคะ
หากเราคิดจะเดินทางไกลร่วมสร้างชีวิตไปกับใครสักคนหนึ่งตลอดไป หากเริ่มต้นไม่เหมาะสมเสียแล้ว เช่นอย่างที่พี่ชายเคยบอก คนหนึ่งชอบเดินช้า อีกคนชอบเดินเร็ว มันคงจะอยู่ด้วยกันยาก เว้นแต่คนทั้งสองจะมีธาตุนิสัยตรงกันอย่างหนึ่งคือพร้อมจะปรับเพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
การรู้จักตนเองนั้นเริ่มต้นเราต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร
ถ้าเราเป็นคนใช้ชีวิตไปวันๆคงไม่ต่างกับการพายเรือในอ่าง กระแสโลก กระแสสังคม กระแสมวลชนพัดให้ไปทางไหนเราก็ไป หรือยังไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรจริงๆเขาว่าอะไรดีก็ดีตามเขา อย่างนี้แปลว่าเรายังไม่รู้จักตนเองดีพอ
ลองตั้งใจค้นหาดูให้ดีมองเข้าไปในใจตนเองให้ลึกว่า ที่แท้แล้ว ถ้าไม่มีความเห็นของใครๆมาเกี่ยวข้อง
เราต้องการอะไรในชีวิตกันแน่
บางคนอาจตั้งไว้ว่าการมีครอบครัวพ่อแม่ลูกคือเป้าหมายบางคนบอกว่าได้เป็นเจ้าของธุรกิจคือเป้าหมาย มีเงินร้อยล้านเป็นเป้าหมายหรือมีทางพ้นทุกข์เป็นเป้าหมาย อะไรก็ได้ ไม่ผิดค่ะ
ถ้าเรารู้จักตนเองตรงนี้เราก็จะมีเหตุผลในการเลือกคู่ข้อนึงล่ะว่า คนที่จะมาร่วมเดินทางด้วยกันถ้ามีเป้าหมายเหมือนกัน อย่างน้อยก็จะช่วยสร้างและร่วมแรงเพื่อไปถึงเป้าหมายเดียวกันได้
เสริมข้อนี้ด้วยเรื่องของการมีศรัทธาและกรอบความเชื่อที่คล้ายกันอันจะเป็นหนทางให้ชีวิตของแต่ละคนไปทางไหน
หากเรามีความเชื่อในสิ่งที่ดี ทำดีได้ดีเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตเราก็จะดำเนินไปในทางที่ดีมีความสุข
หากคู่ของเรามีความเชื่อและพยายามดำเนิน(ด้วยการกระทำ)ไปในแนวเดียวกัน ก็คุยกันรู้เรื่อง
ข้อต่อมา อันนี้ยากหน่อย คือการรู้จักตนเองให้ชัดว่าตนเป็นคนแบบไหน วิธีนี้คือเราต้องหัดเข้ามาดูใจตนเองบ่อยๆดูให้เห็นถึงข้อเสียและข้อดีของตนเองบ่อยๆลดการดูคนอื่นให้น้อยลง ในข้อนี้การภาวนาช่วยได้ค่ะ
ถ้าเรารู้จักตนเองว่าเรามีข้อดีแบบไหนมีคนแบบเดียวกันอย่างนี้อยู่ด้วยแล้วจะยิ่งดี หรือถ้าเรารู้ว่าเรามีข้อเสียแบบไหนมีคนอีกแบบมาอยู่ด้วยแล้วจะดี อันนี้ต้องอาศัยความช่างสังเกตเอา
เรื่องการรู้จักตนเองนั้นรู้จักอย่างเดียวไม่พอ เราต้องรู้จักพัฒนาตนเอง(ไปในทางที่ดี)ด้วย
การมีศีล คือการรักษาตน เพราะการไม่เบียดเบียนคนอื่นจะไม่นำทุกข์และโทษมาให้
หากเรามีธรรม เราก็จะมีความสุข หากคู่ของเรามีธรรมด้วย การอยู่ด้วยกันก็จะมีความสุขราบรื่น
ลองยกตัวอย่างดูง่ายๆนะคะ หากคู่ของเราเป็นคนใจร้อนเวลามีปัญหาอะไรก็ใช้อารมณ์ตัดสิน เราอาจต้องบาดเจ็บทั้งกายทั้งใจด้วยคำพูดด้วยการกระทำ
หากคู่ของเรามีความละโมบโลภมากชีวิตของเราก็เหมือนต้องวิ่งๆดิ้นรนจนเหนื่อย
หากคู่ของเรามีความตระหนี่เราอยู่ด้วยก็จะรู้สึกอึดอัด
หากคู่ของเราเป็นคนติดหลงในรูปไม่รู้จักยับยั้งช่างใจเกิดวันนึงนอกใจไป ใครจะเศร้า
แต่ถ้ากลับกันคู่ของเราเป็นคนมีธรรมมีอะไรค่อยพูดจาด้วยเหตุผล ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ ผลัดกันนำในเรื่องที่แต่ละคนถนัดพลัดกันเตือนเมื่อยามที่อีกคนพลาดพลั้งชีวิตคู่แบบนี้อยู่ด้วยกันแล้วจะพากันเจริญเพราะช่วยแบ่งเบา และส่งเสริมกัน
การที่จะหาคนที่เหมาะสมกับเรามันต้องมีความเสมอกันไม่ได้หมายถึงการเสมอกันที่ภายนอกเรื่องฐานะ หน้าตา ส่วนสูงอะไรแต่หมายถึงการเสมอกันที่ใจ
เมื่อเราทำใจทำตัวเองให้ดีแล้ว รู้จักตนเองแล้วเราก็จะรู้ว่าใจแบบไหนที่เหมาะกับเราและดี ซึ่งการเสมอกันทางใจนี้ก็หนีไม่พ้นศรัทธา ศีล จาคะ(การให้ การสละ) และปัญญา ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนค่ะ
หาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ "เหตุเกิดจากความรัก"
ความรักและคนรัก(ดีๆ)ใช่จะหากันได้ง่ายๆ
หากเราไม่ได้สร้างเหตุมา การทำ การเลือกตามตามอารมณ์ ตามหัวใจเรียกร้องอย่างเดียวก็คือการทำตามกิเลส
หากเรารู้จักตนเอง และรอบคอบมีเหตุผลในการเลือก เลือกคนที่ทั้งดีพอและพอดีที่เหมาะ
ก็จะลดความเสี่ยงในการพลาดพลั้งตกหลุมทุกข์ได้มากขึ้นค่ะ