ธรรมะกับความรัก
บางคนเข้าใจว่าธรรมะกับความรักเป็นเรื่องตรงกันข้ามเพราะเป็นวิถัทางแห่งธรรมและโลกลองมาอ่านดูกันค่ะว่าธรรมะนั้นเกี่ยวข้องส่งเสริมความรัก(ที่ถูกต้อง)ได้อย่างไร:)
ถาม-ปฏิบัติธรรมแล้วยังมีความรักได้ไหม?
ได้ แต่ต้องปฏิบัติกันเป็นจริงๆทั้งคู่ จะยิ่งรู้ว่ารักที่รุนแรงทั้งความรู้สึกทางกายและทางใจเป็นอย่างไร สำคัญคือแต่ละฝ่ายไม่เป็นกันจริง กับแค่ถือศีล ๕ ก็ไม่เข้าใจแล้วว่าถืออย่างไร ถือไปทำไม อย่าพูดถึงนั่งสมาธิ เอาสมาธิมาเจริญปัญญากัน
เมื่อทั้งคู่รู้จักอริยสัจ ๔ จริงๆ เข้าใจว่าพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ เห็นซึ้งว่าจะปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร ต่างฝ่ายต่างเป็นกำลังของกันและกันเมื่ออีกฝ่ายอ่อนแรงลง ฝ่ายหนึ่งขี้เกียจ อีกฝ่ายก็เตือนให้ขยันตั้งสติ ตั้งสมาธิ ฝ่ายหนึ่งเผลอทำผิด อีกฝ่ายก็สะกิดให้ระลึกได้ว่าอย่างนี้เซแล้ว ต้องทรงตัวใหม่แล้ว
การดึงกันปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสร้างแรงดึงดูดที่เหนือแรงดึงดูดด้วยกรรมร่วมชนิดอื่นใดทั้งสิ้นทั้งปวง เป็นตัวสร้างความนับถือกันและกันอย่างสูง เป็นตัวสร้างความสมานฉันท์กลมเกลียวที่แนบแน่นลึกลงไปถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ
แค่คู่ที่ร่วมกันทำบุญใส่บาตร ร่วมกันช่วยเหลือคนและสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากเป็นนิตย์ ก็ประจักษ์แล้วว่าความดีที่ทำร่วมกันเป็นสิ่งลึกลับ เป็นเชือกร้อยรัดที่เหนียวแน่น สร้างความรู้สึกระลึกถึงกันในทางดีงาม เห็นอีกฝ่ายแล้วเกิดความอ่อนโยนในใจ แต่คู่ที่ทำบุญในระดับตั้งใจถือศีลร่วมกัน ปวารณาตัวให้อีกฝ่ายตักเตือนได้เมื่อเห็นตนเขว ทำท่าจะด่างพร้อย จะยิ่งเกิดความคิดถึง ความผูกพันลึกซึ้งยิ่งกว่าคู่ที่แค่ทำบุญใส่บาตรร่วมกันไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า
ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถสอนอีกฝ่ายให้ตั้งจิตเป็นสมาธิ สร้างตัวรู้ขึ้นมาได้ หรือเป็นสมาธิด้วยกันทั้งคู่มาก่อน เข้าที่ภาวนา นั่งสมาธิร่วมกันเสมอ จะเข้าใจความรักฉันหญิงชายอีกแบบที่ประหลาดมาก แค่อยู่ใกล้กันเฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไร ก็เหมือนเป็นแรงเสริมให้อีกฝ่ายเป็นสุขได้อย่างน่าแปลกใจ ยิ่งหากแต่ละฝ่ายรู้จักคิด รู้จักพูดจา ก็จะมีมิติของสัมพันธภาพที่หลากหลาย เวลาหนึ่งอาจคุยกันได้มากมายสารพัดเรื่อง อีกเวลาหนึ่งอาจรู้จักการอยู่ร่วมกันเงียบๆเพื่อฟังเสียงของใจแต่ละฝ่าย เมื่อคิดอะไรก็เหมือนจะรู้กัน เมื่อขยับนิดหนึ่งก็เหมือนเดาถูกว่าจะทำอะไร
มีคู่รักนักเขียนฝรั่งที่เข้าใจเรื่องการทำสมาธิร่วมกัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ออกมาเป็นคุ้งเป็นแคว เรื่องก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากมาย คนที่อยู่คู่กันนั้น เป็นแรงทำลาย แรงที่กดให้ใจอีกฝ่ายตกต่ำก็ได้ หรือจะเป็นแรงเสริมกันให้รู้สึกสูงส่ง ให้เกิดความสุขก็ได้ ยิ่งมีกำลังจิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งให้ผลบวกลบมากขึ้นเท่านั้น ทีนี้ถ้าทำสมาธิถึงระดับที่มีกำลังแรง แถมลากจูงกันไปดี นอกจากเสริมกันในทางบวกแล้ว ยังสื่อใจถึงกันได้ เพราะคลื่นจิตใต้สำนึกและเหนือสำนึกสานกันในที่ใกล้บ่อยๆนั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจถ้าฝ่ายหนึ่งพบเรื่องน่ายินดีมาก อีกฝ่ายที่อยู่ไกลออกไปก็สามารถสำเหนียกถนัด
ถ้ามองในมุมของผู้ที่ต้องการพ้นทุกข์จากสังสารวัฏจริงๆ การอยู่ร่วมกันและปฏิบัติธรรมร่วมกันก็มีผลเสียร้ายกาจอยู่อย่าง นั่นคือถ้าปฏิบัติไปไม่ถึงขั้นปลดขอเกี่ยวให้จิตแยกจากอุปาทานได้แล้ว จะมีความติดเนื้อต้องใจกันชนิดแยกจากกันไม่ได้ เมื่อเย็นร่วมกันถึงที่สุด ก็ร้อนแรงตามครรลองโลกด้วยกันที่สุดเช่นกัน จะสลับขั้วร้อนเย็นเป็นช่วงเป็นพักเหมือนพายเรือในอ่าง หนีไปไหนไม่รอด เสียเวลาในช่วงก่อนแก่ตัวไปกับวิถีโลกเป็นสิบๆปี หรืออาจชวนกันอธิษฐานขอไปนิพพานกันในชาติอื่นไปเลย
ในมุมมองของผู้เห็นรูปนามเป็นทุกข์ การอยู่ตัวคนเดียว ปฏิบัติธรรมโดยลำพัง เที่ยวไปอย่างสันโดษเอกา นับเป็นความสุขอันประเสริฐแท้ แต่เมื่อยังข้องอยู่ ยังสงสัยอยู่ ยังอยากในรสอยู่ จะเรียนรู้ชีวิตคู่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ตั้งใจไว้ดีๆ มองหน้าคู่รักเราแล้วอธิษฐานไว้ว่า อยู่ด้วยกันแล้วจะมีทุกข์ใดปรากฏ ก็ขอใช้เป็นบทเรียน ผลักดันให้ปรารถนาดับทุกข์จนสนิท เมื่ออยู่ร่วมกันจริงๆแล้วเกิดเหตุการณ์เลวร้าย หรือพลาดพลั้งตกทุกข์สาหัสประการใด จะได้มีภาคหนึ่งระลึกว่าเราเคยเตรียมใจรับเรื่องนี้มาก่อน จะใช้ทุกข์นี้เป็นบทเรียนไปนิพพาน และพยายามแก้ปัญหาด้วยน้ำใจเมตตา ปรารถนาเกื้อกูลกัน ไม่แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปัญหา
การได้คู่ครองที่ประเสริฐ ดึงกันไปดีนั้นยากแสนยาก แต่ถ้าหาได้ก็ควรหา อย่ายึดถือกันที่หน้าตา เพราะหน้าที่ฉาบบังความเลวไว้นั้นนานไปเหม็นได้ แต่ใบหน้าเรียบสงบที่อาบด้วยความดีงามนั้นหอมหวนไม่เปลี่ยนแปลงเลย
***************
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
สามีภรรยาในอุดมคติ ที่ครองเรือนด้วยกันและปฏิบัติธรรมไปด้วยพอถึงจุดที่อินทรีย์แก่กล้า ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์มีตัวอย่างมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล คือท่านปิปผลิ(พระมหากัสสปะ)กับภรรยาของท่านแม้ในยุคนี้ก็มีครับ ศิษย์พี่ของผมกับภรรยาของท่านพากันออกบวช เดินรอยเดียวกับพระมหากัสสปะเปี๊ยบเลยผมกับภรรยาก็กำลังจะเดินรอยเดียวกันนั้นเหมือนกัน
ผมเคยพิจารณาว่า เหตุใดสามีภรรยาจำนวนมาก ไม่สามารถไปนิพพานด้วยกันได้ก็เห็นว่า เพราะ ศรัทธา ศีล และทิฏฐิ ไม่เสมอกันหากมีคุณธรรมเหล่านี้เสมอกัน หรือใกล้เคียงกันโอกาสที่จะประดับประคองกันไปนิพพานนั้น มีความเป็นไปได้สูงแรกๆ ที่อินทรีย์ยังอ่อน หรือยังมีภาระ ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสงบสุขเมื่อใดอินทรีย์แก่กล้า และเงื่อนไขพร้อม ก็พากันออกบวชทำที่สุดแห่งทุกข์
ผู้ใดที่ตั้งความปรารถนาจะเอามรรคผลให้ได้ หรืออยากออกบวชโดยระหว่างนี้ต้องการมีคู่ครองก็พิจารณาหาคนที่มีศรัทธา ศีล และทิฏฐิเสมอกันไว้ครับหากคนหนึ่งมีศรัทธา คนหนึ่งไม่มี คนหนึ่งมีศีล คนหนึ่งไม่มีคนหนึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ คนหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิก็มักจะเป็นคู่กรรม มากกว่าคู่บุญบารมีกัน
โดยคุณ :สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 13:44:15]
***************
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
เรื่องของโจ้นั้น อยู่ในขั้นตอนพยายามขัดเกลาเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อให้เหมาะสมกับคู่ที่จะร่วมปฏิบัติธรรมได้ครับยัไงไม่เคยคิดทิ้งโลกไปบวชเลย ด้วยความรู้ขณะนี้ก็ตั้งใจปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้กะการใดๆในอนาคตครับ เมื่อถึงเวลาแล้วคงจะได้รู้เอง ส่วนอดีตนั้น ก็ได้เห็นมาหลายครั้งแล้วว่า "คนที่เหมาะสม" นั้น เป็นเช่นไร ก็จะขัดเกลาตัวเองให้ได้มากที่สุด ส่วนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมจะเป็นใคร คงจะได้รู้กันเมื่อถึงเวลานั้นครับ =)
สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผมผ่านมานั้นชี้ให้เห็นชัดเจนถึงคำว่า "ความเหมาะสม"ที่ได้เจอมานั้น "ความเหมาะสม" จะมากขึ้นเรื่อยๆ จากได้พบกับคนที่เหมือนกันเพียงสองสามอย่างมาเป็นเหมือนกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเลขที่ หมายเลขโทรศัพท์ทะเบียนรถ หน้าตา นิสัยส่วนตัว ความสนใจและพื้นฐานครอบครัวที่ทุกครั้งจะมากขึ้น บางครั้งถึงขั้นเหลือเชื่อ...ครั้งแรกที่รู้ถึงกับไม่เชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่
สำหรับผมในเวลานี้ การรับรู้อารมณ์-ความรู้สึกกันได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วครับ เคยทดสอบกันข้ามโลกมาแล้ว ว่าการรับรู้นั้นไม่ขึ้นกับระยะทางเลย และการรับรู้นั้นดูจะเกิดเพราะความเอาใจใส่หรืออาจจะเป็นความยึดติดก็เป็นได้ ซึ่งการรับรู้นี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการสะท้อนให้อีกฝ่ายเห็นและนำไปแก้ไขขัดเกลาจิตได้เป็นอย่างดี
ส่วนการเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นธรรมดาครับ ใครจะไปใครจะมา กรรมกำหนด สิ่งที่ผมจะทำก็คือเร่งเปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเร็วเพื่อให้ได้พบกับคนที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถเร่งปฏิบัติธรรมต่ออย่างมีความสุขได้ เวลานี้ก็ระวังรักษาจิตของตัวเองไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
เท่าที่ผ่านมา การที่มีคู่ปฏิบัติธรรมนั้น อย่างที่คุณดังตฤณกล่าวไว้ครับ เป็นสุขอย่างยิ่งจากความไว้ใจรวมทั้งความปลอดภัยทั้งทางโลกและทางธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่ได้รู้ว่าเมื่อเซ เมื่อเขวแล้วจะมีคนดึงเรากลับมาในทางอีก
ในโอกาสใกล้วันแห่งความรัก ขอมอบความรักพร้อมด้วยความหวังให้ทุกท่านได้พบกับคู่ร่วมปฏิบัติธรรมสำหรับทุกท่านที่แสวงหา และสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะละทางโลกก็ขอให้ได้พบครูอาจารย์ที่ดี รวมถึงกัลยาณมิตรที่จะร่วมปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าไปโดยเร็วครับ
โดยคุณ :นายโจโจ้ - [12 ก.พ. 2542 19:41:13]
***************
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ไหนๆ คุณดังตฤณก็เอ่ยถึงผมกับภรรยาแล้ว ก็จะขอเป็นพยานกระทู้นี้ ให้คุณดังตฤณเสียเลย
ผมกับภรรยานั้น ถ้าว่าในทางโลกก็นับว่าพอใช้ได้ ทั้งการศึกษาและอาชีพการงานในด้านชีวิตคู่นั้น ก็เป็นคู่หวานแหววที่คนบอกว่าอิจฉาอยู่เสมอๆแต่น้อยคนที่จะทราบว่าสิ่งที่ดึงดูดเราไว้ด้วยกัน คือความปรารถนาดีต่อกันในทางธรรม
เรามีความสุขอันเกิดจากความสงบกิจกรรมยามว่างของผมคือการเขียนธรรมะ
ส่วนภรรยาจะถักไหมพรมเป็นหมวกถวายพระถวายชีไปเรื่อยๆบางทีก็ช่วยกันพิมพ์ธรรมะของครูบาอาจารย์ ถอดเทปธรรมะ หรือเตรียมของไปทำบุญ
ในแต่ละวัน จะแบ่งเวลาช่วงหัวค่ำไว้สำหรับการภาวนาซึ่งผมจะคอยดูแลให้เธอเดินจงกรม นั่งสมาธิเพราะเธอกลัวความเกิด และกลัวว่าหากจะต้องเกิดต่อไป จะไม่ได้พบกับผมอีกแล้วจนตั้งความปรารถนาว่า ชาติหน้าจะขอเกิดเป็นผู้ชายและขอให้ได้บวชตั้งแต่เด็กเลยส่วนผมเองก็รู้สึกว่า จะต้องพาเธอไปให้ได้ ตามปณิธานที่ตั้งร่วมกันมานานนักหนาแล้ว
ในช่วงวันหยุดยาวๆ หรือช่วงปลายปีก็จะพากันไปอยู่ตามวัดป่า แยกกันอยู่ ต่างคนต่างภาวนาถือว่าเป็นเวลาที่มีความสุขและมีคุณค่ามากในชีวิตสมรสเพราะเป็นเวลาที่เรารู้ว่า คู่ของเรากำลังทำแก่นสารสาระให้กับตนเอง
จะพากันออกบวชเมื่อสิ้นภาระในการเลี้ยงดูพ่อแม่ของผมที่แก่มากอายุ 90 ปีแล้ว
ก็มีเท่านี้แหละครับ ทุกวันนี้ก็อยู่กันอย่างมีความสุขมากแต่ก็พร้อมแล้ว ที่จะพากันออกบวชเมื่อสถานการณ์อำนวยตอนนี้ก็ทะนุถนอมกันมาก เพราะรู้แล้วว่า นี้เป็นคราวสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ด้วยกัน
โดยคุณ :สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 21:28:41]
***************
ความคิดเห็นเพิ่มเติม :
ถ้าหากทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมีบุญติดตัวมาดี ก็ได้เป็นความสุขสมชื่นมื่น
แต่ขณะเดียวกันก็ฝากความจริงด้านกลับไว้ว่าสิ่งที่จะต้องแลกก็คือความทนทุกข์สารพัดด้านอันยืดยาวในสังสารวัฏ ตายไปก็ลืมกัน เจอกันอย่างมากก็เหมือนคนสนิทที่ไม่อาจจำหน้ากันได้ เสี่ยงผิดเสี่ยงถูก เล่นบทพระนางดีร้าย และมีปัจจัยแทรกซ้อนซ่อนเงื่อนอื่นได้มากมาย เพราะแต่ละคนไม่ได้อยู่ในสังสารวัฏแบบฉันมีเธอคนเดียวในโลก
โดยคุณ :ดังตฤณ - [13 ก.พ. 2542 09:56:34]
ที่มา. http://larndham.net/narupan/PantipSakajcha02.htm