เมตตาภาวนา: คำสอนว่าด้วยรัก :)
เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ พูดถึงความรัก ตั้งแต่รักตัวเอง รักผู้อื่น รักลูก รักคู่ครอง หรือแม้แต่รักศัตรู ยังพูดถึงผล เสียหายอันเกิดมาจากความโกรธความ เกลียดซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับความรัก พูดถึงศิลปะการใช้ชีวิต การเยียวยาตนเอง จากความเกลียด การมีชุมชนหรือสังฆะที่ จะช่วยหนุนเสริมชีวิต และที่สำคัญก็คือ เมตตาภาวนา
การภาวนา คือ กระบานการพัฒนา ศักยภาพอันใดอันหนึ่งให้เกิดมีขึ้น
เช่น สมาธิภาวนาซึ่งก็คือกระบวนการพัฒนาจิต ให้ตื่นตัวกระฉับกระเฉงละเอียดอ่อนมั่นคง เมตตาภาวนาเป็นกระบวนการพัฒนา หรือ ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตาอาทรให้เกิด ขึ้นในใจ เมตตาคือจิตที่เปี่ยมไมตรี ซึ่ง เป็นคุณสมบัติพื้นฐานสำหรับการพัฒนา จิตในระดับสูงขึ้นไป เมตตาภาวนานี้ เป็น บทภาวนาหลัก สำหรับผู้ที่มีนิสัยมักโกรธ เป็นเครื่องมือที่ทำให้จิตอ่อนโยน
ความโกรธสร้างผลร้ายให้กับชีวิตเรา เกินกว่าที่เราคาดคิด ผู้ที่ถูกมันทำร้ายเป็น คนแรกคือตัวเราเอง คนต่อมาก็คือ คนที่เรารัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกหลานของเรา บ่อยครั้งที่พ่อแม่ เอาความเจ็บปวด เอาความโกรธของตนเอง ถมใส่ลูกๆ อย่างขาดสติ ชีวิตลูกๆ ก็จะ เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความทุกข์ ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับเราก็จะค่อยๆ จางหายไป พ่อแม่กลายเป็นคนที่ไม่ปลอดภัย พอที่เขาจะปรึกษาได้เมื่อพวกเขามีความทุกข์ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องกลับมาดูตนเอง เรากับลูกกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับกัน มากขึ้นทุกวันหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น สัญญาณอันตรายกำลังมาเตือนเราแล้ว มันเป็นเรื่องน่าเศร้ามิใช่หรือที่เด็กๆ ต้องหนี ออกจากบ้าน เพราะทนอารมณ์ของผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ไม่ได้ หรือแม้ว่าที่เกิดกับเรามันอาจ ไม่เลวร้ายขนาดนั้น แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความ โกรธก็จะถูกบ่มเพาะในใจของลูกเรา แล้วก็จะส่งไปยังหลานของเรา
ท่านนัท ฮันห์เล่าถึงเด็กชายคนหนึ่ง เมื่อเขาหกล้มเขา จะถูกพ่อตะคอกบ่อยๆ จนเขาสัญญากับ ตัวเองว่า ถ้าเขามีลูกเขาจะไม่ตะคอกลูก เป็นอันขาด เพราะเขารู้สึกเจ็บปวดที่ถูกขู่ ตะคอกอย่างนั้น แต่วันหนึ่งพอเขาเห็น น้องสาวหกล้มบาดเจ็บ เขาก็โกรธอยาก ตะคอกด่า แต่เขาก็รู้เท่าทันมันและหลังจาก ที่เขาใคร่ครวญถึงมัน เขาก็เข้าใจพ่อของเขา มากขึ้น เพราะเขามองเห็นว่าเมล็ดพันธุ์ แห่งความโกรธนี้ได้ถูกปลูกฝังเอาไว้ในใจ ของพ่อของเขาและเมล็ดพันธุ์นี้ได้รับการ สืบต่อมาเป็นทอดๆ จากบรรพบุรุษ และ เด็กชายก็คิดว่าเขาจะพยายามหยุดมัน ให้ได้ในรุ่นของเขา
ความรักก็เช่นกันมันจะถูกปลูกฝัง และรับช่วงต่อๆ มาเป็นทอด แม่อาจจะเป็น คนแรกๆ ที่ปลูกรักลงไปในหัวใจของเด็ก มันเป็นพื้นฐานของรักทั้งปวง เป็นพื้นฐานให้ เกิดความรักในเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ทั้งหลายได้ แต่ก็นั่นแหละเพียงแค่เรารัก และปรารถนาดีเท่านั้นยังไม่พอ จะต้องมี การดูแลที่ถูกต้องด้วย ลูกๆ หรือคนที่เรารัก นั้นหากจะเปรียบก็คล้ายๆ กับ ดอกไม้ หาก เราดูแลไม่ดีพอเขาก็จะอับเฉา การดูแล ที่ดีจะทำให้พวกเขาเติบโตเบิกบานมี ความสุข
มนุษย์เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ถ้าเราทุกข์และโถมทับความทุกข์ของเรา ไปให้กับคนรอบข้าง เขาก็พลอยได้รับความ ทุกข์ไปด้วย แต่ถ้าเรามีสุข เราก็เป็นเหตุ ปัจจัยที่ดีเพื่อให้คนรอบข้างมีความสุข ดังนั้นเราก็ต้องดูแลตัวเอง ความรักมัน ต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน เราต้องมี ความอาทรในตัวเอง เรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเอง มีความสุข เพราะสุขของเราก็คือสุข ของคนอื่นๆ ด้วย เมื่อเรารักตัวเองเป็น ก็พร้อมที่จะไปรักคนอื่น
สำหรับคู่รัก ความรักอาจเริ่มต้นด้วย ความหลงใหล แต่ความหลงใหลนั้น เป็นเรื่องชั่วคราว หากรักนั้นไม่ได้รับการ พัฒนาจนกลายมาเป็นความเข้าใจและ ความซาบซึ้ง เพราะเหตุที่ในตัวคนเรามีทั้ง ขยะและดอกไม้ มีทั้งส่วนที่น่ารักและ ส่วนที่ไม่น่าพึงใจ ดังนั้นเราต้องมีศิลปะอย่าง มากในการอยู่ร่วมกัน เช่น เราต้องยอมรับ ในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าความเข้มแข็งหรือ อ่อนแอ ไม่ใช่เฉพาะส่วนที่ดี นอกจากนั้น ความรักยังต้องอาศัยความอดทนและเข้าใจ ความสำนึกรับผิดชอบเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ ความรัก
เราต้องเรียนรู้ที่จะดูแลกันและกัน ให้มีความสุข เพราะหลายคนเมื่อรัก ก็เกิดความรู้สึกครอบครองเกินพอดี อยากให้เขาเอาใจใส่เราคนเดียว ไม่อยาก ให้เขารักคนอื่น เมื่อมันมากเกินไปเขาก็ เป็นทุกข์ระทม
ถ้ารักที่จบลงด้วยความทุกข์ มันก็เป็นรักที่ผิดทาง หรือ เมื่อรักแล้วต้อง ไม่มีทิฏฐิต่อกัน นอกจากเราต้องคอย ให้ความช่วยเหลือ เมื่อคนที่เรารัก เป็นทุกข์แล้ว เราก็ต้องพร้อมที่จะขอความ ช่วยเหลือเมื่อเราเป็นทุกข์ด้วยเพราะรัก ต้องไม่แบ่งแยก
รักยังมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ แม้ว่าเมตตาภาวนา คำสอนว่าด้วยรัก อาจจะไม่ใช่หนังสือที่ดีที่สุดในเรื่องความ รักแต่มันก็อาจจุดประกายความเข้าใจ ในเรื่องความรักซึ่งบางที “รัก” มันมีขอบเขต ที่กว้างขวางมากกว่าที่เราเข้าใจอยู่เสียอีก ก็เป็นได้ ๚
กวีวงศ์
ที่มา http://www.khonnaruk.com/html/book/criticize/c_love.html