ด้วยแรงอธิษฐาน
การอธิษฐานไม่ใช่อย่างการขอ แต่เป็นการตั้งเป้าหมายให้จิต เพราะจิตใจคนเราคิดวกวนสับสน ไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัด ทำให้เดินเดี๋ยวก็ซ้ายเดี๋ยวก็ขวาไม่ถึงทางไหนเสียที
การอธิษฐานเป็นการตั้งเข็มทิศทางเดิน เพื่อให้เราได้มีโอกาสสร้างเหตุ และสิ่งที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ อธิษฐานแล้วต้องลงมือทำงาน ใส่ใจ อธิษฐานบ่อยๆจะช่วยย้ำให้ตนเองไม่ลืมสิ่งที่ตั้งใจไว้
สรุป
1. อธิษฐาน "ขอให้มีคู่ที่เหมาะสมและเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณร่วมกันไปพร้อมๆกัน"
2. ช่วยเหลือผู้อื่น(เป็นการสร้างกรรมที่ช่วยให้เห็นความจริง และเดินได้เร็วที่สุด)
3. เปลี่ยนแปลงตนเอง เอาง่ายๆก็มีทุกข์เรื่องใด ติดขัดตรงไหน ก็ตั้งเจตนาช่วยคนเรื่องนั้นๆ แล้วก็เอามาแก้ไขปัญหาตนเอง เป็นการเรียนรู้กรรมเก่า สร้างกรรมใหม่ทั้งในแง่ช่วยคนและเปลี่ยนตนเองไปในทางที่ดี
เหตุเก่าเบาบาง เหตุใหม่ที่ดีมีมากพอเหมาะแล้วก็จะได้อยู่กับคนที่เหมาะสมค่ะ^^
เอาเรื่องราวของพี่ชายเป็นเคสศึกษามาฝากค่ะ :)
โดย พี่โจ้
คนเจอกันตอนเรียน ก็ด้วยเหตุที่เคยสร้างไว้ ห่างหายไป ไม่เจอกัน ก็ด้วยว่าหมดวาระของเหตุที่เคยสร้างไว้ กลับมาเจอกันใหม่ ก็ด้วยวาระใหม่ของเหตุที่เคยสร้างไว้ มุมมองที่นายโจโจ้ได้ก็คือ การค้นหาหรือวิ่งเข้าหาสิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่ทาง ที่จะทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการนั้น ถ้าต้องการจะได้มา ต้องสร้างเหตุเท่านั้นครับ
ทั้งหมด เขียนจากประสบการณ์จริง ได้ผลจริง แต่ต้องทำงานหนักครับ เมื่อทำงาน จึงจะได้งาน แต่ถ้าวิ่งเข้าหาจะเอาผลของงานโดยไม่ทำงาน มีแต่จะสร้างความอึดอัดให้ทั้งตนเองและผู้ที่ถูกวิ่งตามโดยไม่มีทางได้มาครับ ถ้าไม่ได้สร้างเหตุไว้ก่อนหน้าที่สมควรกัน
ที่เหลือ ถ้าไปหวังและไปยึดเข้า ก็จะมีเพียงความผิดหวัง หดหู่ ซึมเศร้าครับ เป็นกุญแจสำคัญที่สุดครับ
น้องสาวนายโจโจ้เคยอธิษฐาน "ขอให้ได้เจอคนที่เหมาะสม" เขาก็แค่ "ได้เจอ" จริงๆ แต่เจอกันแป๊บเดียวแล้วก็ต้องแยกกัน ด้วยสาเหตุหลายประการที่เขากับนายโจโจ้มาวิเคราะห์กันแล้วเห็นในภายหลังคือ
1) เขาตั้งจิตเพียงให้ "ได้เจอ"
2) เขาไม่เคยสร้างเหตุร่วมกันเพิ่มเติมให้มีความเหมาะสมกันยิ่งขึ้น
3) เมื่อได้เจอ เขาลืมเรื่องการสร้างเหตุในข้อ 2 ทั้งหมด ตั้งหน้าตั้งตาเสพสุขกันอย่างเดียว คนที่ไม่เคยสร้างเหตุไว้ ก็เหมือนคนไม่ค่อยจะมีเงินเก็บ เจอที่ช็อปปิ้งก็ใช้ๆๆๆโดยไม่หาเพิ่ม แป๊บเดียวเงินก็หมด พอเงินหมด ก็หมายถึงปัจจัยที่ทำให้ได้อยู่ร่วมกันหมด ก็ต้องแยกกันไปแบบงงๆว่าเกิดอะไรขึ้น
ณ วันนี้ น้องสาวนายโจโจ้เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นมาก เขาชักชวนแฟนคนปัจจุบันเขารักษาศีล ภาวนา เริ่มจากศีล 5 ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ปัจจุบันผ่านมาราวครึ่งปี เขาก้าวไปถึงศีล 8 ในวันหยุด วันธรรมดาเริ่มเป็นศีล 5 ได้นานขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นก็ไปวัดฟังธรรม ใส่บาตร ร่วมกันสละทรัพย์ทำบุญ ถวายสังฆทาน สร้างวัด ฟังซีดีหลวงพ่อกันเป็นปกติ เดือนละครั้งจะไปเดินจงกรมภาวนากันตามสถานที่ๆมีสัปปายะธรรมและมีความคุ้น เคย
ยิ่งทำไปก็ยิ่งเห็น ว่าความเข้ากันได้ค่อยๆเพิ่มขึ้น และกับแฟนคนปัจจุบันเธอไม่เคยทะเลาะกันเหมือนที่เคยเกิดแฟนคนก่อนๆ
กฏแห่งกรรมไม่เคยไม่เสมอภาค(ยุติธรรม)ครับ และกฏแห่งกรรมทำงานตลอดเวลา ทุกวินาที ทุกเสี้ยววินาที ทุกอย่างที่เราแต่ละคนได้พบได้เจอ เป็นสิ่งที่เราสร้างเหตุไว้เพียงเท่านั้นจริงๆ
อย่าไปเสียเวลาชักชวน ชี้ชวน ชี้นำ ตามตื๊อ คาดคั้นใครต่อใครให้คิดเพื่อให้เราได้ตามที่เราคนเดียวเท่านั้นต้องการเลย ครับ เพราะจะเป็นการก่อกรรมใหม่ที่จะให้ผลเป็นการนำเราไปเผชิญเรื่องแบบเดียวกับ ที่เราทำไว้เท่านั้น ไม่ได้ให้อะไรน่าชื่นใจเลยสักนิด
“กฏแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ แต่ที่มักจะไม่ยุติง่ายๆคือความอยากของเราครับ ยิ่งอยากก็ยิ่งก่อกรรมเพิ่ม”
"อยากได้มากกว่านี้ มีวิธีเดียวครับ หันกลับไปสร้างเหตุให้มากยิ่งๆขึ้นไป ไม่อย่างนั้นก็หยุด อย่าไปเสียเวลาวิ่งตามหามันเลย เสียเวลาเปล่าครับ"
สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นที่เข้ามาในชีวิตหลังจากการอธิษฐานจิต ที่ส่งให้นายโจโจ้ได้สร้างเหตุสำหรับสิ่งที่ตั้งจิตไว้ก็คือ
1) ได้ทำให้คู่รักเกือบ 100 คู่พ้นจากความทุกข์เรื่องความรัก
2) ได้ร่วมรับรู้เรื่องราวที่เป็นปัญหาของแต่ละคู่โดยละเอียดมาก ซึ่งส่งให้ได้เข้าใจจุดเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้ง เรียกว่ารับรู้จนชำนาญ จนเบื่อ จนเอือม และเมื่อไหร่ที่มันจะเกิดขึ้นอีกไม่ว่ากับตัวเองหรือกับคนใกล้ตัว ก็รู้ตัว เตือนคนใกล้ตัวให้รู้ตัวและหลีกได้ในทันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
3) ได้เพื่อนจำนวนมาก
4) ได้ให้ธรรมเป็นทาน
5) ได้อานิสงค์จากสิ่งที่กระทำ
6) ได้ความเข้าใจการทำงานของกฏแห่งกรรม เหตุที่แต่ละคนเคยสร้าง จนต้องมาเผชิญกับผลที่แตกต่างกันไป
7) ได้เข้าใจตามที่แจกแจงคุณหุ่นยนต์ไปแล้ว ว่าอย่าไปเสียเวลากับการตามหาหรือชักจูงใครให้ทำสิ่งที่เราต้องการเลย หันมาสร้างเหตุ จะดีที่สุดกับทุกฝ่าย สร้างเหตุไว้แบบไหน ก็จะได้รับผลแบบนั้นครับ
ฯลฯ
เพราะใจคนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยหรือกาลเวลานี่เอง ทำให้การอธิษฐานว่า "พบคนที่เหมาะสมและเติบโตไปด้วยกัน (พร้อมๆกัน)" เป็นสาเหตุสำคัญ เพราะเมื่อโตไม่เท่ากัน คนนึงโตเร็ว อีกคนไม่ยอมโต ก็ย่อมจะขาดจากกัน
การทู่ซี้ดึงรั้ง เพียรพยายามจะไม่ให้ขาดนั่นเอง ที่เป็นการก่อกรรม
อธิบายให้ชัดขึ้นอีกได้ว่า การไปพยายามขอความเห็นใจ หรือกดดันบีบบังคับด้วยความสามารถในการใช้คำ หรือเล่นละคร หรือพยายามล่อลวงให้คนอื่นหลุดปากรับว่าจะให้ตามที่ถูกกดดันล่อลวงด้วย เหตุผลต่างๆ แทนที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ความ เหมาะสมเกิดขึ้นจนเรื่องๆต่างๆเกิดความยินยอมพร้อมใจ เป็นการก่อกรรมชนิดที่ผู้ก่อก็ย่อมไม่ยินดีให้เกิดกับตนเองเช่นกัน...
การพยายามทำแบบนั้น มีแต่จะอึดอัดกันไปหมดทุกฝ่ายครับ
เพราะนั่นมักจะเป็นผลจากการที่เคยอธิษฐานไว้
แต่ให้เรียนรู้ใจตัวเองไปว่าเมื่อกระทบกับสิ่งที่เข้ามาแล้วรู้สึกอย่างไร รู้สึกขึ้นมาแล้วควบคุมได้ไหม (คือให้ดูความเป็นอนัตตา คือสั่งบังคับให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้) รู้สึกขึ้นมาแล้วความรู้สึกนั้นอยู่คงทนไหม (คือให้ดูอนิจจัง) รู้สึกขึ้นมาแล้ว เมื่อยึดกับความรู้สึกนั้น เกิดทุกข์ไหม(ทุกขัง) ให้ได้มากที่สุด
หมั่นอบรมจิตใจด้วยความรู้ไปเนืองๆไม่ว่าอะไรจะเข้ามา รู้เข้าไปให้มากเท่าที่จะทำได้ในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน ตรงนี้หมายความว่าช่วงทำงานก็ต้องทำงานให้ดีที่สุด เพราะเขาจ้างเรามาทำงาน ไม่ได้จ้างมาปฏิบัติธรรม แต่ช่วงพักจากงานนั้น รู้ไปให้มากที่สุด โดยไม่ใช่ให้ไปรู้เนื้อหาที่คิด แต่รู้ภาพรวมจนเห็นว่าความคิดสั่งไม่ได้ จิตสั่งไม่ได้ เวลาทุกข์จะสั่งให้ไม่ทุกข์ก็ไม่ได้ ความรู้สึก(เวทนาขันธ์)ก็สั่งไม่ได้แถมไม่เที่ยงด้วย และดูๆไปก็จะเห็น ว่าความจำหรือสัญญาขันธ์ไม่เที่ยงและก็สั่งไม่ได้ วิญญาณขันธ์หรือการรับรู้ก็ไม่เที่ยงและสั่งให้รู้อย่างเดียวตลอดเวลาไม่ได้ สรุปว่าให้ดูจิต ดูขันธ์ ดูกาย ดูเวทนาไป จนกว่าจะเห็นอนัตตา เห็นอนิจจัง เห็นทุกขังที่แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งจิตเขายอมรับ คือจำนนต่อความจริง ว่าจิตเองก็เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
สาเหตุของเรื่องก็คือ ทุกอย่างมีขั้นตอนของมัน อธิษฐานเป็นการตั้งเข็ม เวลาเราอธิษฐานจิต เราได้ยินก่อนคนแรก การอธิษฐาน เป็นการบอกจิตเราเองว่า เดินไปทางนั้นนะ ทีนี้ ในส่วนของความคิด ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นในภาคปฏิบัติ ที่นายโจโจ้เคยอธิษฐานไว้ราวในเดือนพฤษภาคม ปี 2539 คือขอแฟน ไม่ใช่ขอแฟนดุ่ยๆนะครับ ตอนนั้นอธิษฐานจิตว่า ขอคู่ที่เหมาะสมที่จะเจริญเติบโตไปพร้อมๆกัน เวลาอธิษฐาน ทำสมาธินิดนึงให้ใจสงบ แล้วกำหนดให้จิตเราเป็นเครื่องส่งวิทยุที่มีกำลังมากที่สุดในจักรวาล คือส่งกระจายความตั้งใจนี้ของเราไปทั่วทั้งจักรวาล แล้วคิดกำหนดสิ่งที่ต้องการนั้น
หลังจากอธิษฐานได้ 1 สัปดาห์ ก็มีคนแนะนำให้นายโจโจ้ไปคุยกับน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของน้องเพื่อนนาย โจโจ้ที่เขามีปัญหาเบื่อชีวิต กลุ้มใจอยากฆ่าตัวตาย น้องคนนั้นอายุ 12 ก็ได้คุยกับเขา 5 ครั้ง ครั้งแรก 5 ชั่วโมง เขาแทบจะฟังอย่างเดียวโดยเกือบไม่ตอบอะไรเลย ครั้งต่อมา 4 ชั่วโมง จนครั้งสุดท้ายเพียง 1 ชั่วโมง แต่ละครั้งทอดระยะเวลาห่างกันราว 2-3 วัน แล้วก็ไม่ได้คุยกันอีกราว 1 เดือน แม่เขาโทรมารายงานว่า น้องเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าตกใจ จากคนที่เบื่อชีวิต เรียนได้ที่สุดท้ายของห้อง กลายมาเป็นที่ 1-2 ในการทดสอบย่อย และจากคนที่ไม่เอาใคร กลายมาเป็นคนที่ใส่ใจกับทุกคน มีเมตตากับทุกคน น้องเขาค่อยๆ พลิกชีวิตเขาจากคนเบื่อโลก จากการเป็นผู้ร้องขอแล้วต้องเศร้าใจกับการที่ไม่ได้ตามที่ขอ/หวัง กลายมาเป็นผู้ให้ ยิ่งให้ไปเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเขาเอง ชีวิตน้องเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ในภาคการศึกษานั้นเขากลายเป็นที่ 1 ของห้อง ถัดมาไม่นานเขาไปเรียนดนตรี เรียนร้องเพลง จนในที่สุดได้ไปทดสอบ casting หน้ากล้อง จนถูกเลือกไปเป็นนางแบบโฆษณา 2-3 เรื่องและเล่นภาพยนต์อีก 1 เรื่อง ก่อนจะจบ grade 12 และเดินทางไปศึกษาต่ออเมริกา ปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ไม่ได้ยินว่าเขามีปัญหาอะไรอีกเลยจากการทำตัวเป็นผู้ให้ไปก่อน
กลับมาที่นายโจโจ้ หลังจากกรณีของน้องคนนั้นเป็นสิ่งแรกที่เข้ามาในชีวิต ก็ทำไป จากนั้น ในภาพรวม จะเห็นได้ว่า หลังจากอธิษฐาน จะมีงานที่เราต้องกระทำเพื่อให้เดินไปถึงเป้าหมาย ที่ขอสรุปภาพรวมให้เห็นว่า ในช่วงเวลาราว 4 ปีหลังจากการอธิษฐาน นายโจโจ้มีโอกาสได้คุยกับคนกว่า 200 คน เป็นผู้หญิงที่กำลังมีความทุกข์ในเรื่องความรักราว 80% ซึ่งหลายครั้งต้องคุยทั้งกับฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ที่คุยพร้อมๆกันก็มี ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องกับพ่อแม่บ้าง ปัญหาชีวิตทั่วๆไปบ้าง
ใช้กรรมเก่า เพื่อให้เดินไปถึงเป้าที่ได้อธิษฐานไว้
ที่ไปคุยกับคนเหล่านั้น ได้ให้ธรรมะเป็นทาน ได้ทั้งเพื่อน ได้เรียนรู้ปัญหาอย่างใกล้ชิดว่าแต่ละปัญหาเกิดจากอะไร จนคนหลังๆที่คุยด้วย นายโจโจ้แทบจะสรุปปัญหาได้ทันที ว่าปัญหาของคนทุกคนมาจากความเหงา แก้ที่เหงานี่แหละ หมดทุกปัญหา
จนกระทั่งได้พบว่า การดับความเหงาที่ดีที่สุด ก็คือการเจริญสติรู้ตัวนี่เอง การเจริญสติรู้ตัวจึงเป็นคำตอบสำหรับความเหงา คือรู้ตัวตนไป จนกระทั่งเห็นว่า ตัวตนที่พยายามจะให้มี มันไม่มีนี่หว่า มันเป็นแค่ความเข้าใจผิดล้วนๆ ที่เมื่อทิ้งความเข้าใจผิดนี้ด้วยความจำนนต่อความจริง ว่าตัวเรามันไม่มี ก็คือการละสังโยชน์ 3 นั่นเอง จากการดูจนเห็นชัด เมื่อเห็นชัดก็จะหมดความสงสัย (วิจิกิจฉา) และยังจะขาดจากความเข้าใจผิดว่าการถือศีลแบบพรต (สีลพตปรามาส) คืออดเนื้อ ทรมานตนเองต่างๆ จะทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วศีลมาจากความตั้งใจจะรักษา(ปทัง)การละเว้น(เวรมณี)การ กระทำ(สิกขา)ที่เป็นการละเมิดสิทธิในชีวิต ในสิ่งของ ในคู่ ในความจริง ที่มีผู้ถือสิทธิเหล่านั้น รวมทั้งละเว้นจากการดื่มสุราอันเป็นที่ตั้งของความประมาทซึ่งจะนำไปสู่การ ขาดความระวังรักษาใจจนสามารถไปละเมิดสิ่งที่ตั้งใจไว้แล้วโดยปราศจากความ สามารถในการยับยั้งชั่งใจได้ ซึ่งเมื่อรักษาศีลได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิดเป็นปัญญาเข้าใจโดยกระจ่างว่าเหตุใดศีลจึงเป็นสิ่งจำเป็น คือเมื่อตั้งใจจะรักษาศีล ใจจะตั้งมั่นขึ้น เมื่อใจตั้งมั่นขึ้น ก็จะเห็นสิ่งต่างๆชัดขึ้น และการไม่ละเมิดผู้อื่น คืออยู่ในศีล ก็จะทำให้ใจไม่สั่นด้วยความกลัวว่าเขาจะมาละเมิดเรากลับเข้าให้บ้างเพราะเรา ไปเอาของเขามาก่อน ใจจึงเป็นสมาธิ เพราะอยู่ในศีล
เมื่อรักษาศีลถึงเข้าถึงศีลโดยกระจ่างและเจริญภาวนาที่เพิ่มความเห็นชัดและ ความเห็นอย่างเป็นกลางจนพ้นจากความลังเลสงสัย พ้นจากความคิดปรุงแต่งเอาเองทั้งปวงแล้ว ก็จะเข้าถึงความจริง เห็นความจริงได้ว่า ทั้งกายและใจนี้ไม่ใช่เรา คือพ้นจากสักกายทิฏฐินั่นเอง
ที่โดยปกติ ดูยังไงก็ยังเห็นว่าใจนี้เป็นเรา เป็นของเรา ก็เพราะความเห็นยังไม่ชัด ที่ยังเห็นไม่ชัดก็เพราะยังไม่ภาวนาจนขาดจากวิจิกิจฉา หรือภาวนาแต่ศีลยังไม่บริบูรณ์ คือยังมีการละเมิดสิ่งที่เป็นสิทธิของผู้อื่นอยู่
คงพอได้แนวทางครับ
ว่าจะเขียนเรื่องอธิษฐาน เขียนไปเขียนมา วกมาลงที่การภาวนาทุกที ในความเห็นนายโจโจ้ มันแยกกันไม่ออก ไอ้ครั้นจะให้เฉพาะเรื่องการอธิษฐานเอาอะไรแบบโลกๆ ก็ไม่เห็นว่าเหมาะสม เลยลากยาวมาลงที่การภาวนา จะจบสวยสุดครับ
ท่านที่สนใจเรื่องภาวนาจะได้พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย เพราะความเหงาคือความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน อย่าได้รีบโดดเข้าไปใส่ของที่คิดว่าใช่สิ่งที่อธิษฐานไว้ในทันที คนจะอยู่ร่วมกันได้ ต้องมีศีล ศรัทธา ปัญญา จาคะเสมอกันเท่านั้น คนเจอกันตอนเรียน ก็ด้วยเหตุที่เคยสร้างไว้