เปลี่ยนชีวิต
โลกเป็นโลกใบเดิม เราต้องเปลี่ยนความคิด จึงจะเห็นโลกต่างไปจากเดิม ถ้ายังเป็นตัวตนเดิมๆ เส้นทางชีวิตก็จะเหมือนเดิม เหมือนรู้ตัวว่าใช้ถนนผิดเส้น แต่ยังดันทุรังไปต่อ มันก็ไปไม่ถึงที่หมายสักที จนกว่าจะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนเส้นทาง นั่นแหละ
แต่ปัญหาที่เจอในช่วงระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงก็คือ แต่ละคนจะรู้สึกว่ามันยาก ทำใจไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความคิด(อันเป็นจุดเริ่มต้นของนิสัย) จะบอกว่ามันไม่เป็นเรื่องแปลกนะ เพราะเราปล่อยให้ตัวเองเคยชินที่จะคิด จะเชื่อ จะอยู่กับคนๆนี้ จะแก้ปัญหาแบบนี้ด้วยวิธีเดิมๆ
มีพี่ชายทางธรรมคนหนึ่งเคยเขียนบล็อกไว้ ถ้าใครเคยมีประสบการณ์ ย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน ก็จะเข้าใจ เราอาจจะไม่คุ้น รู้สึกแปลกในตอนแรกเพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไร หรืออาจจะยากกว่าจะตัดสินใจ แต่จะบอกว่าเปลี่ยนนิสัยที่จริงง่าย ง่ายกว่านั้นมาก เพราะไม่ต้องแบก ไม่ต้องเตรียมตัวขนย้าย อะไรให้หนักเลย แค่มีปัญญาสังเกตเห็นเท่านั้นว่าที่ทำมาอยู่แบบเดิมๆมันไม่เวิร์ค ก็ต้องเปลี่ยนวิธี เรามีชีวิตอย่างไรก็เพราะกรรมที่เราเคยทำจัดสรรไว้ แค่เรารู้ และ “มีใจ” ที่จะเปลี่ยน ก็เหมือนสายตาเรามองในทิศทางที่เปลี่ยนแล้ว ถ้าคิดอย่างนี้ได้ เท่ากับเรามีทางที่จะปะสบคามสำเร็จ 50 เปอร์เซ็นต์ แล้วนะ หลังจากนี้จะแนะนำวิธีที่ทำแล้วได้ผลมาบอกเล่าค่ะ
ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจความจริงพื้นฐานตามที่พระพุทธเจ้าตรัสก่อนแล้วพิจารณาดูว่าจริงไหม
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เจตนาว่าคือกรรม”
เมื่อเราคิดว่าจะเป็นอย่างไรบ่อยๆ ใจเรามันก็จะจำแบบนั้นบ่อยๆ พอมีปัญหาเดิมๆ ความคิดแบบเดิมๆก็จะเเว๊บมา
การคิดคือกรรมอย่างหนึ่ง เป็นมโนกรรม ถ้าคิดโดยเจตนาบ่อยๆ ย้ำตนเองบ่อยๆ เชื่อว่าเราเป็นแบบนั้น มันก็เปลี่ยนตัวเองยากนะ
ดังนั้น การอ่านหนังสือธรรมะดีๆหรือการมีกัลยาณมิตรที่ดีช่วยได้มากๆ ตั้งสติไม่อยู่ ไม่ต้องพยายามห้ามความคิด แต่หาความคิดที่ถูกป้อนเข้าหัว
เรื่องของกรรมอีกอย่างหนึ่งคือการให้ธรรมทานด้วยเจตนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์และคิดได้ ก็จัดเป็นวจีกรรม กายกรรมที่จะส่งผลให้เรารับความจริงได้ง่ายขึ้นด้วย
ต่อมา “ให้เข้าใจถึงการมีอยู่ แต่ไม่ได้ถือไว้”
หลายคนทุกข์ทรมานกับความเป็นอะไรสักอย่าง ไปให้ค่าว่ามันไม่ดีแล้วก็อยากเปลี่ยน อยากผลักไส โดยการอยากเปลี่ยนของคนทั่วไป เป็นนัยยะแบบ ต่อสู้ เหมือนเราเป็นพระเอก เป็นซุปเปอร์แมน ต้องฆ่าศัตรูด้วยการฆ่ามัน ทำลายมัน ถ้าทำไม่ได้คือแพ้ แล้วก็รู้สึกไปว่าตนเองอ่อนแอ ไม่แข็งแรงแบบฮีโร่ คิดแบบนี้ทุกครั้ง เหมือนมีเสียงค้านกันในหัว คิดทีไรก็เหนื่อยทุกที
พระพุทธเจ้าตรัสสอนเกี่ยวกับความจริงอีกข้อหนึ่งว่า “สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ” ก็เป็นตามข้อแรกที่แนะนำไปนะ ก็แค่เข้าใจว่าเหตุเราสร้างมาให้เป็นคนคิดแบบนี้ ถึงเวลามันก็แว๊บขึ้นมาอีก มันก็มีอยู่จริง แหละ
แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนความจริงสูงสุดอีกหนึ่งอย่างนะ ที่ถ้าเข้า(ถึง)ใจแล้ว เราไม่ต้องกังวลกับอะไรอีกเลยคือ “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ (ลักษณะความจริงสามอย่าง)คือ ทุกสิ่ง ไม่เที่ยง ต้องเปลี่ยนแปลงไป (อนิจจัง) ทุกสิ่งทนอยู่ในสภาวะเดิมไม่ได้ (เป็นทุกข์) และทุกอย่างเปลี่ยนแปลงทนอยู่ไม่ได้อยู่แล้วในตัวมันเอง เราสั่งไม่ได้ เพราะมันไม่ของเรา (เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน) มันเป็นไปตามเหตุ คือ เราไปยึดถือมันมา แล้วสร้างเหตุ ก็เลยคิดว่าตัวเองเป็นผู้รับผล ความเข้าใจผิดเกิดจากอุปาทาน (ความยึดมั่น, ความถือมั่น) ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่ความเข้าใจผิดของเราเท่านั้น ที่พอแว๊ปเห็นความคิดใดความคิดหนึ่ง เราตีความแล้วว่าดีหรือไม่ดีนั้น ยังไม่มีผลเท่าไหร่ แต่พอเรายึดว่ามันเป็นความคิดเรา เราเกิดชอบ ไม่ชอบ แล้วอยากให้มันหายทันที เปลี่ยนได้ทันที (ภาษาธรรมเรียกว่า ตัณหา) มันขัดกับความจริง เราก็ไม่ยอม ก็เลยทุกข์ ดิ้นรน ยิ่งทุกข์ยิ่งดิ้น ยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นิสัยก็ไม่ได้เปลี่ยน แถมเพิ่มความทรมานใจ
ตอนหญิงเจอพี่ชายแรกๆแล้วพี่ชายสอน หลังจากนั้นมาหญิงก็สังเกตใจตัวเองบ่อยๆ เห็นผลเสียจากนิสัยของตัวเองหลายอย่าง แล้วก็พยายามเปลี่ยน แต่เพราะไม่เข้าใจตรงนี้ หลายๆครั้งก็เลยท้อ และรู้สึกว่าเราไม่ดีพอ
ไม่เข้าใจว่า “การมีอยู่ แต่ไม่ถือ” เป็นอย่างไร
ดังนั้นเรื่องของการภาวนา เรื่องของการฝึกสติ จึงช่วยได้มาก
ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ แต่ไม่ไปคว้ามันมา เห็นมันเกิดขึ้นเอง ไม่ได้ไปสั่งมัน มันไม่ใช่ของเรา สั่งไม่ได้ แล้วทำไมต้องเชื่อมันว่ามันเป็นของเรา ก็แค่ยอมรับตามจริงด้วยความเข้าใจนะว่า มันเคยมีเหตุ มันก็เกิด
เคยเป็นแนวตัดพ้อตัวเองว่าอยากเปลี่ยนให้ตัวเองดีขึ้น แต่ทำไม่ได้ก็รู้สึกไม่ดี จนวันหนึ่งที่มาเอ๊ะ ก็มันไม่ใช่ของเราหนิ ไม่ได้ขอร้องให้มันเกิด ให้มันคิดแบบนี้ พอยอมรับได้ เราจะรู้ว่าปัจจุบันมันเกิดใหม่ตลอด แค่รู้ทัน เราไม่ไปถือมันไว้ ก็ไม่มีอะไรต้องปล่อยวาง วินาทีที่รู้ทันคือสติเกิด ความคิดนั้นก็ดับไปแล้ว มันไม่ใช่ตัวตนของเราจริงๆ แค่"เคยเป็น" ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว แค่”เคยเป็น” แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็น เพราะไม่ได้ยึด
ภาวนาไปเรื่อยๆเราจะเห็นประโยชน์มหาศาลของการมีชีวิตอยู่กับทุกปัจจุบัน ไม่อาลัยอดีต ไม่มัวกังวลถึงอนาคต ปัจจุบันดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันสั้นนิดเดียว เราเป็นคนใหม่ได้เสมอ ค่อยๆฝึกภาวนา ฝึกรู้ตาม จนมันเข้า(ถึง)ใจ แล้วเราจะมีชีวิตใหม่ ที่มีความสุขขึ้นเรื่อยๆ ^^