ใครคือคนที่ใช่
พิมสาวสวยอาชีพพนักงานบริษัท อายุ 28 ปีเพิ่งอกหักจากแฟนคนแรกที่คบกันมา 9 ปีด้วยสาเหตุคือฝ่ายชายนอกใจ เธอสับสนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งทุกข์ ทั้งกลัวเพราะคิดว่าอายุก็ใกล้จะ 30 แล้ว และตั้งแต่เกิดมา ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เพิ่งรู้จักเจ็บเพราะรัก รสชาติมันเป็นอย่างนี้นี่เองช่างทรมานอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
พิมขับรถออกไปชานเมือง แบบไม่มีจุดหมาย ไม่รู้จะทำอะไร และไม่รู้จะไปไหน รู้แค่อยากออกไปให้ไกล ๆ จากสถานที่เดิม ๆ ที่จะทำให้นึกถึงความหลังเก่า ๆ ระหว่างทางเห็นวัดแห่งหนึ่งดูสงบร่มรื่นจึงตัดสินใจขับรถวกกลับไปร้านสะดวกซื้อที่เพิ่งขับผ่านมา เลือกข้าวของใช้อย่างดีจำนวนหนึ่งแล้วขับรถเข้าไปในวัด
บริเวณวัด เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลากหลายทำให้อารมณ์ที่หดหู่กลายเป็นร่มรื่นขึ้นบ้าง แม้ไม่เคยมาวัดนี้ แต่ขับรถเข้าไปก็เห็นศาลาใหญ่สร้างด้วยไม้ตั้งเด่นอยู่กลางบริเวณพื้นที่ และมีรถจอดอยู่คันหนึ่ง เธอจึงเดาว่าศาลานี้น่าจะพอมีพระอยู่ให้ขึ้นไปทำบุญ เมื่อขึ้นไปบนศาลาเห็นพระรูปหนึ่งดูอาวุโสน่าเลื่อมใสกำลังคุยกับโยมคนหนึ่งอยู่ เธอจึงค่อย ๆ คลานเข่าเข้าไปเมื่อใกล้พระ และตั้งใจกราบพระประธานและพระสงฆ์รูปนั้นอย่างตั้งใจ ตอนนี้หัวใจเธอเปรียบเหมือนนกน้อยที่อ่อนแรงหวังพึ่งอะไรก็ได้ที่พอจะเป็นที่ยึดเหนี่ยว เมื่อเงยหน้าขึ้นมา พระสงฆ์รูปนั้นได้พูดขึ้นว่า
“จะทำบุญใช่ไหม มา ๆ ถวายพร้อมกันเลย เดี๋ยวเราจะไปทำวัตรต่อ”
ว่าแล้วโยมที่อยู่ข้าง ๆ ก็จัดแจงหยิบถุงข้าวของของเขามาเตรียมถวายพระด้วย หลังจากถวายของเสร็จ โยมคนนั้นเอ่ยถาม “ที่กรวดน้ำอยู่ไหนครับหลวงพ่อ” พระรูปนั้นชี้ไปที่ข้างโต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง “แต่มีอันเดียวนะ เด็กมันเอาไปล้างลงยา ทิ้งไว้ให้อันเดียว ใช้ที่กรวดน้ำร่วมกันคงไม่รังเกียจใช่ไหม” พิมยิ้มตอบรับโดยไม่ได้พูดอะไร หลังพระให้พรเสร็จทั้งสองคนก็เดินลงศาลาเอาน้ำที่กรวดใส่ภาชนะไปเทฝากแม่พระธรณีที่ผืนดินใต้ต้นโพธิ์ใหญ่
ขณะเทน้ำลงดิน พิมตั้งจิตอธิษฐานในใจ
“ขออุทิศส่วนบุญนี้ให้แก่เทวดาอารักษ์ของข้าพเจ้า ผู้มีพระคุณและเจ้ากรรมนายเวร พร้อมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลาย.... ขอให้มีปัญญาพ้นทุกข์และพบรักที่มีความสุขด้วยเทอญ...”
ระหว่างที่เทน้ำลงดินนั้น มีลมเย็นหน่อย ๆ พัดแผ่วมาถูกต้องตัว ทำให้พิมรู้สึกดีอย่างประหลาด
“ผมเอาขึ้นไปเก็บให้ครับ เชิญคุณตามสบาย”
“ขอบคุณค่ะ” พิมตอบ
หลังจากชายหนุ่มเดินไปแล้ว พิมนั่งลงตรงเก้าอี้ไม้ข้างต้นโพธิ์ จิตใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ระหว่างที่กำลังปล่อยใจให้สบายเต็มที่นั้นเอง
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม” เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น
พิมลืมตา “ไม่มีค่ะ ขอบคุณมาก” พิมตอบ
“แต่ชั้นว่ามีนะ เมื่อกี๊เธอเรียกฉัน”
“คุณเป็นใครคะ ชั้นไปเรียกคุณตอนไหน”
“ก็เธอเรียกชั้น.. เทวดาผู้คุ้มครองเธอ”
พิมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำหน้าเหวอ อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
หญิงสาวผู้นั้นกล่าวต่อ “เธอยังบอกด้วยว่า.. ขอให้มีความรักที่มีความสุข ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม”
พิมขนลุกซู่ นี่คนหรือผี หรือ..เทวดาจริง ๆ ไม่สิ ผู้หญิงต้องเรียกว่า นางฟ้า ใช่ไหม
“เทวดาหรือนางฟ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ ตกลงเธอเชื่อหรือยังว่าฉันเป็นใคร” หญิงสาวนิรนามพูดต่อ
“คุณ..คุณมาได้ยังไงคะ” พิมเริ่มพูดต่อได้แล้ว แต่ยังพูดได้อย่างตะกุกตะกัก
“ก็เมื่อกี๊เธอทำบุญให้ชั้น ชั้นก็เลยมาช่วยเธอ สรุปต้องการให้ฉันช่วยอะไรไหม เท่าที่ชั้นพอทำได้ในตอนนี้ ชั้นให้เธอขอได้ 3 ข้อ”
“ทำไมต้อง 3 ข้อ”
“เธอมีสิทธิ์แค่นั้น และชั้นคิดว่า 3 ข้อก็เพียงพอแล้ว"
พิมไม่แน่ใจว่าตัวเองฝันหรือเพี้ยน เธอเคยได้ยินเรื่องเทวดานางฟ้าผีสางมาบ้าง แต่ไม่เคยคิดว่าจะเจอกับตัว แต่ไหน ๆ แล้วจะลองขอคงไม่เสียหลาย “งั้น... ข้อแรก พิมขอให้พิมมีความรักที่มีความสุข”
“อะ ๆ เดี๋ยวก่อน ชั้นบอกไว้ก่อนนะ ชั้นมีสิทธิ์ช่วยเธอได้ในขอบเขตเท่าที่บุญเธอมี ชั้นใช้พลังส่งให้ผลบุญที่เธอทำบังเกิดผลเร็วขึ้นได้ แต่ให้เกินกว่าที่เธอไม่ได้ทำมาไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ก็คุณเป็นนางฟ้า”
“นางฟ้าก็เป็นจิตดวงหนึ่งเหมือน ๆ กับคนนั่นแหละ ชั้นก็เคยเป็นคนมาก่อน แต่ทำบุญไว้มากจึงได้ไปอยู่บนสวรรค์ ชั้นอาจมีความสามารถทำอะไรได้มากกว่ามนุษย์ในบางเรื่อง แต่... ไม่มีใครใหญ่เกินกรรมของใคร”
“ออ...สรุปว่าที่พิมขอไปจะได้ไหม ขอให้พิมมีความรักที่มีความสุข”
“ชั้นให้เธอไม่ได้”
“อ้าว”
“ความสุขของเธอคืออะไร เธอเท่านั้นที่รู้ จะให้ชั้นคิดแทนเธอแล้วเนรมิตให้ไม่ได้หรอก คำขอเธอมันกว้างเกินไป ขออะไรที่มันเจาะจงแคบกว่านี้หน่อย เช่น...เธอคิดว่าเธอมีคู่แบบไหน ความรักแบบไหนจึงจะมีความสุขล่ะ ถ้าฉันพอช่วยได้ และเธอมีบุญพอ ฉันจะทำให้เธอเจอกับคน ๆ นั้น”
“งั้น...พิมขอให้พิมมีแฟนหล่อ ๆ รักพิมมาก ๆ...”
“ได้...ข้อนี้ง่ายขึ้นหน่อย เธอจะได้เจอเค้าในเร็ว ๆ นี้ ชั้นไปล่ะ” พูดเสร็จแล้ว นางฟ้านิรนามก็หายตัวไป
พิมออกจากวัดมาอย่างงง ๆ ไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง กลัวคนอื่นหาว่าบ้า ตั้งใจรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นวันต่อมาพิมก็ได้พบกับหนุ่มหล่อในฝันตามสเปค เป็น Supplier ของบริษัท ทั้งสองคนเริ่มต้นคบหาดูใจกัน แรก ๆ เธอมีความสุขดีทุกอย่างเพราะปลื้มในความหล่อ เขารักเธอดี แต่นาน ๆ ไปก็เริ่มมีปัญหา ทั้งสองคนชอบอะไรไม่เหมือนกัน หลังจากพิมอกหักแล้วเข้าวัด แล้วได้เจอนางฟ้าหรือที่เรียกตัวเองว่าเทวดาผู้คุ้มครองเธอ เธอก็เริ่มเชื่อในการทำบุญขึ้นบ้าง มีเวลาวันหยุดก็อยากจะไปทำบุญกับแฟน แต่แฟนเธอชอบเที่ยว ชอบสังสรรค์เฮฮา ก็เลยทำให้มีเวลาที่จะมีความสุขร่วมกันจริง ๆ น้อย และที่สำคัญ...เพราะแฟนเธอหล่อมาก จึงมีสาว ๆ มาโปรยเสน่ห์มากมาย ด้วยความกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เธอจึงขี้กังวล หวาดระแวงจนถึงขั้นหึงหวงและมีปากเสียงกันบ่อย ๆ จนในที่สุดเธอก็พบว่าเธอไม่มีความสุขเลย สุดท้ายทั้งสองก็เลิกกัน
พิมกลับไปที่วัดแห่งเดิมอีกครั้ง ซึ่งไม่ได้มานาน เพราะอยู่ไกลจากบ้าน หลังทำบุญเสร็จเธอก็อุทิศให้ผู้มีพระคุณ เทวดาอารักษ์ และเจ้ากรรมนายเวรเหมือนเดิม แล้วนางฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง...
“พิมดีใจมากที่เจอท่าน”
“เป็นไงบ้าง ความรักของเธอ เธอเรียนรู้อะไรบ้าง”
“พิม.. เอ่อ พิมเรียนรู้ว่า การมีแฟนหล่อคงไม่ใช่ความสุข และแม้เราจะรักกัน แต่เราชอบอะไรไม่เหมือนกันเลย”
“แล้วคราวนี้เธอจะขอให้เจอคนรักแบบไหนอีก เธอถึงจะมีความสุข”
“พิมขอ...ขอให้มีคนรักที่..ไม่ต้องหล่อมากก็ได้ พิมจะได้ไม่ต้องหวง แต่ขอให้เขาชอบอะไรเหมือนเรา รักเรา เอาใจใส่เรา ไม่เจ้าชู้”
“ได้ ตามนั้น”
“เอ่อ อีกอย่าง ขอให้รวยด้วยค่ะ”
“ได้.. ถ้าเธอต้องการแบบนั้น และคิดว่ามันคือความสุข”
หลังจากนั้นไม่นาน พิมก็พบรักกับลูกค้าคนหนึ่ง เค้ารวย เค้าเอาใจใส่เธอ เค้าชอบทำบุญกับเธออยู่เหมือนกัน ทุกอย่างดูดีเหมือนไปได้สวย แต่พิมกลับรู้สึกเหมือนจิตใจขาดหายอะไรไปบางอย่าง เธอก็ได้รับความรัก ได้รับการดูแล อยากได้อะไรแฟนก็ซื้อให้ ได้ไปเที่ยวที่หรู ๆ ดีๆ สวย ๆ สบาย แต่เธอกลับรู้สึกว่าใจแห้งแล้ง และแม้แฟนเธอจะตามใจทุกอย่าง แต่ต่อมาก็เริ่มไม่มีเวลา เพราะได้โปรเจคใหญ่ ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ นานไปความรู้สึกหวานก็จืดจาง ต่างคนต่างรู้สึกห่างเหินเหมือนเป็นเพื่อนมากกว่าคนรัก ในที่สุดจึงเลิกกัน
“นี่มันอะไรกันนะ ชั้นคิดว่าชั้นมีแฟนที่ดีทุกอย่าง รักชั้น ให้ชั้นได้ทุกอย่างแล้วชั้นจะมีความสุข แต่ทำไมชั้นยังรู้สึกขาด ถ้าสิ่งที่ชั้นได้มาทำให้ชั้นสุขได้จริง ทำไมชั้นยังต้องการอะไรใหม่ ๆ เรื่อย ๆ อยากได้กระเป๋าใหม่ อยากไปเที่ยวแล้วไปเที่ยวอีก มีความสุขตอนได้มาแป๊บเดียว แล้วชั้นก็เหงาอีก”
“ใช่แล้วล่ะ เธอยังไม่รู้จักความสุขและความรักที่แท้จริงเลย” เสียงนางฟ้านิรนามดังขึ้น
“นางฟ้า...”
นางฟ้ายิ้มหวานให้
“พิม พิมสับสน ตอบตัวเองไม่ถูกเลยว่าความรักคืออะไร พิมต้องการอะไร แล้วพิมต้องมีคู่แบบไหนถึงจะมีความสุข”
“เธอยังไม่คู่ควรพอจะมีคนรักที่จะให้ความสุขเธออย่างแท้จริงได้หรอก บอกตามตรง บุญเธอยังไม่ถึง เธอยังไม่รู้ตัวด้วยว่าปัญหามันอยู่ที่ตัวเธอเอง มีแฟนหล่อเธอก็หึงหวงจนเป็นทุกข์ มีแฟนที่รักและให้เธอทุกอย่าง เธอก็ยังเหงาได้
เมื่อเธอไม่เข้าใจความรัก จะมีคนรักแบบไหน มีรักกี่ครั้ง ต่อให้มีสุข ก็จะมีทุกข์ด้วยเสมอ จนกว่าเธอจะเปลี่ยน"
“พิม พิมอาจจะเป็นคนผิดจริง ๆ แล้วพิมต้องรักยังไง ต้องทำยังไงพิมถึงจะมีความสุข”
“ลองไปถามหลวงพ่อดูสิ พรุ่งนี้ท่านจะลงศาลาตอนบ่ายโมง และคงไม่มีญาติโยมมากวนเท่าไหร่เพราะเป็นวันธรรมดา”
“ได้ค่ะ พิมจะลองดู”
“ชั้นใบ้ให้เธออีกอย่างหนึ่งว่า.. ที่เธอรู้สึกเคว้งคว้างไม่แน่ใจในตัวคนรัก ถึงแม้จะมีความสุขทางโลกดี ก็เพราะเธอยังไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร และเป้าหมายในชีวิตของเธออยู่ที่ไหน เธอจึงต้องสับสนวนหาอย่างคนไม่รู้จักทาง และไม่รู้ว่าต้องการไปไหนกันแน่ เหมือนคนหลงทาง...”
“จริงด้วยค่ะ พิมไม่รู้ว่า พิมจะทำงาน มีคนรัก มีครอบครัวไปเพื่ออะไร ในเมื่อวันหนึ่งก็ต้องตายจากกัน และเอาอะไรไปไม่ได้เลย มันเหมือนสร้างปราสาททรายอย่างสวยงามแล้วสุดท้ายคลื่นก็ซัดพังหมด”
“หลวงพ่อจะตอบคำถามเธอทั้งหมดในวันพรุ่งนี้” นางฟ้ายิ้ม
วันต่อมาพิมขอนายลางานช่วยบ่าย ขับรถไปยังวัดเดิมที่เธอเคยไปครั้งแรกเมื่อ 3 ปีก่อน ไปถึงบ่ายโมงตามเวลาที่นางฟ้าบอก ขึ้นไปที่ศาลา เจอหลวงพ่อกำลังนั่งอยู่ตรงที่พร้อมกับพระอุปัฏฐาก หลวงพ่อยิ้มให้ “ว่าไงโยม คราวนี้ไม่ได้ตั้งใจมาทำบุญอย่างเดียวแล้วใช่ไหม มีอะไรจะถามว่ามา”
“หลวงพ่อรู้...”
“ก็รอโยมจะถามอยู่ แต่ตอนนั้นบุญโยมยังไม่พอ ไม่เห็นจะอยากถาม”
“ทำไมต้องบุญพอ จึงจะอยากถามคะ”
“มีบุญก็มีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาก็ยังไม่อยากได้ความรู้ มีแต่อยากได้สิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนภายนอกมาเติมเต็ม แต่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มหรอกนะ ที่โยมเรียกว่าความรักเนี่ย กิเลสล้วน ๆ มีแต่อยากให้คนอื่นมาดี และเป็นอย่างใจ”
พิมสลดไปหน่อยหนึ่ง “ค่ะ พิมรู้ พิมโง่มานาน ตอนนี้พิมรู้แล้วว่าถ้าพิมทุกข์ พิมต้องหาคำตอบที่ตัวพิมเอง หลวงพ่อช่วยสอนพิมหน่อยได้ไหมคะ”
“ที่อยากได้น่ะ มันตัวตัณหา ตัวกิเลส ที่หวงที่เหงาน่ะความโง่ ขัดเกลากิเลสออกจากใจซะ ทุกข์ก็หมดเมื่อเหตุหมด ไฟจะไหม้ไม่ได้ ถ้าหมดเชื้อ
ทำบุญน่ะมีหลายแบบนะโยม อย่างหยาบคือ ทำทานชำระความหวง ตระหนี่ ความยึด ให้ความสุขคนอื่นเป็น เสียสละความสุขตัวเองได้ คือขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ทำทานถูกใจจะต้องมีความสุข
บุญละเอียดขึ้นมาอีกคือ ศีล ศีลหมายถึงการงดเว้นการเบียดเบียน ก็คือระงับยับยั้งใจไม่พูด ทำเบียดเบียนคนอื่นๆ ก็คือฝึกไม่ทำตามกิเลส แล้วเราก็จะมีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น
แต่บุญสูงสุดคือภาวนา ถ้าไม่มีสติก็ไม่ทันกิเลส ถ้าไม่ทันกิเลสก็โง่ไม่เห็นความจริง เมื่อไม่เห็นความจริงก็คือหลง”
“ความจริงคืออะไรคะ”
“ความจริงสูงสุดคือสิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยง แปรปรวน ไม่อยู่ในอำนาจควบคุมไง ทั้งร่างกายโยมนี่สักวันนึงก็ต้องแก่เหี่ยว ทั้งความรู้สึกนึกคิดของโยมที่แปรปรวนไปมา เดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่ เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี ถ้าเห็นความจริงได้ ใจจะไม่ยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยงเพราะเห็นแล้วว่ายึดไม่ได้ โยมจะไม่ยึดใครเพราะเห็นว่าไม่สามารถให้ความสุขที่แท้จริงได้เลย
เหนือกว่าการทำบุญเพื่อให้ได้แฟนดี คือจิตใจที่เป็นอิสระจากกิเลสและความโง่หวงทุกข์ทั้งปวง...
บุญให้ผลเป็นสุขจริง แต่ต้องทำไปเรื่อย ๆ เหมือนคนทำงานหาเงิน หยุดทำงาน บุญหมด บาปก็เข้าเล่นงาน โยมมาเจอใครต่าง ๆ ได้เพราะกรรม และก็แยกจากกันเพราะกรรม ไอหนุ่มรูปหล่อนั่นชาติก่อนเคยเป็นแฟนโยมเหมือนกัน ชาติก่อนโยมก็ทุกข์เพราะหวงเค้าอย่างนี้แหละ ส่วนไอเศรษฐีนั่น ชาติก่อนเป็นพี่ชายโยม เคยดูแลกันมา”
“พี่ชายมาเป็นแฟนได้ด้วยเหรอคะ โยมคิดว่าเป็นคนรักก็ต้องเป็นคนรักกันไปทุกชาติที่เจอ”
“ไม่เลย กรรมมันไม่เลือกฐานะหรอก ฐานะสลับสับเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ไม่จำกัด อย่ายึดติดอะไรกับบทบาทที่เรามาสวมบทเล่นเพื่อใช้กรรมกันชั่วคราวเลย”
“ค่ะ หลวงพ่อ”
พิมสลดสังเวชถึงความไม่รู้ของตนเองที่ผ่านมา รู้สึกราวกับว่าทุกคนเหมือนนักเดินทางที่ถูกปิดตาจับคู่ จะได้มาเจอใครหรือต้องต่างแยกย้ายกันไปเมื่อไหร่ล้วนเป็นไปตามอำนาจกรรมที่เกิดจากความไม่รู้
หลังจากวันนั้นพิมตั้งใจรักตัวเองให้ดีก่อน ทั้งตั้งใจทำทาน รักษาศีล และปฎิบัติธรรม จากเมื่อก่อนที่ตั้งใจทำทานแลกบุญ เดี๋ยวนี้เธอรู้แลว่า ถ้าทำทานถูกใจก็เป็นบุญเองโดยไม่ต้องอยากได้และไม่ต้องรอผลเนิ่นนาน แค่ให้เพื่อสละกิเลสความงก ความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ให้เพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุขอย่างแท้จริงโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใจก็เป็นสุขแล้ว จะอยู่บ้าน อยู่ที่ทำงาน หรืออยู่วัดก็เป็นโอกาสทำบุญได้หมด ช่วยงานคนในบ้านก็เป็นบุญ ช่วยเพื่อร่วมงานก็เป็นบุญ ตั้งใจถวายของและปัจจัยเพื่อให้พระมีความเป็นอยู่ดีตามสมควรสะดวกแก่การปฏิบัติธรรมก็เป็นบุญได้หมด
ในเรื่องของศีล เมื่อก่อนพิมเข้าใจว่าศีลคือข้อห้าม ทำแล้วจะได้บุญ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่า ศีลคือปราการป้องกันใจไม่ให้ตนเองและผู้อื่นทุกข์ เมื่อไม่ก่อเวรให้ผู้อื่น เมื่อไม่ทำตามกิเลส หักห้ามใจได้ กิเลสในใจก็มีอำนาจลดลง ทำตามอารมณ์น้อยลง ใจก็สงบเย็นเป็นสุขขึ้น แต่พมสังเกตว่าที่ตนเองรักษาศีลได้ดีก็เพราะฝึกปฏิบัติธรรม ฝึกมีสติเท่าทันอารมณ์ทำให้ไม่ทำตามอารมณ์ พิมสรุปกับตัวเองได้ว่า ทั้งทาน ศีล ภาวนา เป็นวิธีการฝึกหัดจิตที่เกื้อหนุนกัน เพราะใจรู้จักสละจึงรู้จักความสุขสว่าง เปรียบเทียบแล้วทำให้เห็นว่าศีลขาดแล้วก็ใจหม่นหมอง การปฏิบัติช่วยส่งเสริมการรักษาศีล การทำทานและการรักษาศีลก็ทำให้ใจสงบ เบา ช่วยส่งเสริมการภาวนาให้ดำเนินไปได้โดยง่าย มีสมาธิ มีความสุขขึ้น
นอกจากดูแลใจแล้ว พิมก็ดูแลกายด้วย พิมเริ่มออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง หลังจากเริ่มปฏิบัติธรรมเปลี่ยนแปลงนิสัย ไม่ทำอะไรตามอารมณ์ ผ่านไป 1 ปี จิตใจเธอเข้มแข็งขึ้น ไม่รู้สึกเหงา และสามารถมีความสุขได้ด้วยตนเอง แล้วยังรู้จักรักและดูแลคนรอบตัวเป็น พิมในวันนี้ดูสวย สดใส มีออร่า งามจับตายิ่งกว่าพิมคนเดิม เพราะงามมาจากข้างใน
คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลยว่า คนที่ดูดี ไม่ใช่มีแต่เฉพาะคนหน้าตาดี หุ่นดีเท่านั้นที่ดูดีได้ แต่คนที่ดูแลจิตใจตัวเองดี สดใส มีความสุข แม้หน้าตาธรรมดาก็ทำให้ดูน่ารัก ดูสดชื่น น่าเข้าใกล้ เพราะใคร ๆ ก็ต้องการความสุข อยู่ใกล้คนมีความสุขแล้วเหมือนอยู่ใกล้ดอกไม้สวย ทำให้มีพลัง คนเราแก่ไปก็ดูเหี่ยวเหมือนกันหมด แต่คนแก่บางคนเหี่ยวแล้วยังดูใจดีและเย็น แม้แก่แล้วยังดูเป็นคนแก่ที่น่ารัก
ในช่วงวันหยุดยาวพิมมักจะไปวัดปฏิบัติธรรมเสมอ วันหนึ่งหลังเดินจงกรมที่ลานวัดเสร็จ นางฟ้านิรนามได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“นางฟ้า... พิมดีใจที่เจอท่าน กราบขอบพระคุณมากนะคะ พิมรู้สึกมีความสุขมากตอนนี้ แม้ไม่มีแฟน”
“ถึงเวลาแล้วสินะที่เธอจะเจอคู่บุญของเธอ”
“อะไรนะคะ พิมไม่ต้องการหรอกค่ะ อีกอย่างพิมก็ไม่ได้ขอท่านเสียหน่อย พิมอยู่ด้วยตัวเองได้ รู้สึกมีอิสระและเป็นสุขดี”
“แฟนที่ดีหรือคู่บุญนี่ เค้าไม่ได้มีได้เพราะอยาก แต่มีได้เพราะใจเธอคู่ควร และมีบุญเหมาะสมพอแล้วต่างหาก
ถ้ามีเพราะอยาก เมื่อได้มี เธอก็หวง แต่เมื่อเธอเข้าใจความรักแล้วว่ารักแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น สำคัญคือรักตัวเองให้เป็นก่อน ใจเธอมีความสุข ไม่รู้สึกขาด เธอจึงสามารถแบ่งปันความรักให้คนอื่น ที่ผ่านมาชั้นก็เห็นเธอเปลี่ยนแปลงไปมากนะ เมื่อก่อนเธองี่เง่าเอาแต่ใจมากเลย ตอนนี้เธอรู้จักแบ่งปันคนอื่น ให้ความรักใคร ๆ ได้ไม่เลือกหน้า เธอให้สิ่งที่ดี เธอจึงคู่ควรจะได้รับของดี กรรมดีที่เธอทำ และใจที่พร้อมทำให้เธอเหมาะสมที่จะเจอคนที่ดีที่เหมาะสมกับใจแบบเดียวกัน
วันนี้ชั้นมาบอกว่า คำขอแรกที่เธอได้ขอไว้เมื่อ 4 ปีก่อนจะเป็นจริงแล้ว”
พิมยังแอบเข็ดเล็กน้อยกับความรัก ในเมื่อตอนนี้มีความสุขดีอยู่แล้ว ทำไมยังต้องหาเหามาใส่หัวอีก เกิดความลังเลจึงถามนางฟ้ากลับไปว่า “เมื่อเราดูแลตัวเองได้แล้วจะมีคู่ไปทำไมคะ”
“เมื่อเธอดูแลตัวเองได้แล้ว เธอจะมีหรือไม่มีคู่เธอก็อยู่ได้พิม มันเป็นทางเลือก แต่คู่ที่ดีจะเป็นกัลยาณมิตรของเธอไปในเส้นทางนี้ เมื่อหลายปีก่อนเธอเคว้งคว้าง เธอไม่รู้ว่าเธอต้องการไปไหน แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอจะไปเส้นทางธรรมที่เป็นเส้นทางที่จะพ้นทุกข์และมีความสุขขึ้น คู่ที่มีเป้าหมายอย่างเดียวกันจะมาช่วยเกื้อกูลเธอ และเธอก็เกื้อกูลเขาได้ เพื่อขัดเกลาอัตตา และความไม่รู้อื่น ๆ อีก การอยู่คนเดียวก็มีข้อดี แต่การอยู่กับคนที่เป็นกัลยาณมิตรยิ่งดีกว่า
ชั้นดีใจกับเธอด้วย พิม สิ่งที่เธอขอไว้ในวันแรก ขอให้มีปัญญาพ้นทุกข์ และมีความรักที่มีความสุข จะเป็นจริง ที่จริงเธอก็เคยเจอเขาแล้วล่ะ แต่ตอนนั้นเธอยังไม่มีบุญพอจะได้รักและอยู่ด้วยกัน"
พิมยกมือไหว้นางฟ้าด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แล้วนางฟ้าก็หายไป พิมตระหนักได้เข้าใจกรรมมากขึ้นในวันนี้ อย่างนี้นี่เอง อยากได้เท่าไหร่ก็ไม่ได้ ถ้าสร้างเหตุมาไม่พอ แต่ถ้าสร้างเหตุมาพอแล้ว แม้ไม่ได้อยากได้ แม้ไม่ได้ขอ ก็ต้องได้แล้วล่ะ
ตอนเย็นหลังจากอาบน้ำแล้วขึ้นมาทำวัตร พิมได้เจอผู้ชายคนหนึ่งที่รู้สึกคุ้นมาก ใช่แล้ว เธอเคยเจอเขาเมื่อ 4 ปีก่อน แต่ความรู้สึกวันนี้ที่เห็นหน้าชายหนุ่มอีกครั้งกลับรู้สึกไม่เหมือนวันแรกที่เจอกัน วันแรกเพราะเธอมัวแต่หมกมุ่นในทุกข์ จึงไม่เห็นเขาในสายตา และไม่รู้สึกอะไรใด ๆ ด้วยเลย แต่วันนี้ความรู้สึกที่ได้เห็นหน้าชายหนุ่มเป็นความรู้สึกเหมือนเจอญาติสนิท อำนาจกรรมเริ่มส่งผลไปสู่วาระใหม่อีกครั้ง
“อ้าวคุณ คนที่เคยมาทำบุญที่วัด ที่ใช้ที่กรวดน้ำด้วยกัน”
“ใช่ครับ ผมจำคุณได้ มาปฏิบัติธรรมที่นี่ประจำเหรอครับ”
“ค่ะ ประมาณปีหนึ่งแล้ว แต่ชั้นไม่เคยเห็นคุณเลยนับจากวันนั้น”
“ปกติผมไปปฏิบัติธรรมประจำที่วัดทางภาคอิสานครับ แต่ช่วงนี้งานเยอะ ไม่มีเวลาไปนาน ๆ เลยนึกถึงที่นี่ มาระยะสั้น ขับรถไม่ไกล”
“อนุโมทนาค่ะ หลวงพ่อที่วัดนี้ท่านเป็นพระปฏิบัติดีนะคะ ท่านสอนอะไรชั้นหลายอย่าง”
“ครับ จากที่เคยคุย ท่านน่าเลื่อมใสมาก ผมชื่อนพนะครับ”
“ชั้นชื่อพิมค่ะ”
หลังทำวัตรเสร็จ ญาติโยม พระและแม่ชีแยกย้ายกันกลับที่พักเพื่อทำความเพียรปฏิบัติธรรมต่อ เหลือแต่พิมและนพที่รอพบหลวงพ่อเพราะมีคำถามในเรื่องการปฏิบัติธรรมบางข้อ ทั้งสองคลานเข่าเข้าไปหาหลวงพ่อพร้อมกัน
“อ้าว...ในที่สุดก็ได้ลงเอยกันเสียทีนะ”
ทั้งพิมและนพมองหน้ากัน แต่มีพิมเท่านั้นที่พอจะเดาออกว่าหลวงพ่อหมายความว่าอะไร เขาคนนี้น่ะหรือคือคนที่ใช่
หลวงพ่อพูดต่อ “ที่บอกนี่ไม่ได้จะสนับสนุนให้เป็นคู่กันหรอกนะ มันผิดวินัยสงฆ์ แต่เราสองคนน่ะก็เรียนรู้ธรรมะกันมาพอสมควร เป็นกัลยาณมิตรกันได้ สมัยพุทธกาลมีคู่รักที่เป็นตำนานคู่หนึ่ง คือพระมหากัสสปะกับภรรยาของท่าน นางภัททกาปิลานี ท่านอยู่เกื้อกูลกันทางธรรมตามหน้าที่ รักษาศีลประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งสองคนได้ตั้งใจอบรมจิตสั่งสมบารมีไว้ดีแล้ว พยายามรักษาความบริสุทธิ์เกื้อกูลกันเพื่อความก้าวหน้าต่อไปนะ”
"เอ่อ...แต่ว่าเราสองคนจะไปกันได้หรือคะ จะรักกันได้หรือคะ" พิมพูดอย่างเขิน ๆ หน่อย ๆ ทำไมอยู่ ๆ รู้สึกเหมือนถูกคลุมถุงชน
"รังเกียจเขาหรือพิม" หลวงพ่อถาม
"ไม่ใช่ ๆ ไม่ใช่ค่ะ ที่จริงตอนที่เห็นพี่เขาแว๊บแรกก็รู้สึกเย็นและเป็นกันเอง แต่... มันไม่ได้รู้สึกแบบ..อธิบายยังไงดี เรียกว่าในทางชู้สาวน่ะค่ะ พูดตรง ๆ คือไม่ได้รู้สึกวาบหวามหวานเหมือนคนรักก่อน ๆ ที่ผ่านมา เข้าใจว่าต้องมีความรู้สึกในทางนั้นต่อกันไหมจึงจะเป็นคู่กันได้"
“แล้วไอที่รู้สึกหวาน ๆ หวาม ๆ นี่ไปรอดไหมล่ะ
คู่น่ะ ไม่ได้หมายถึงคู่นอน คู่เสพกามอย่างเดียวนะพิม คู่น่ะมีหลายอย่าง คู่เพื่อน คู่เวร คู่บุญ นี่แปลว่ายังโง่อยู่นะ ที่เข้าใจว่าเป็นคู่กันแล้วต้องรู้สึกในทางชู้สาวเท่านั้น อารมณ์หวาบหวามไม่ใช่ความรักนะ แต่มันเป็นความหลง เป็นกิเลส ถ้าเธอหลงใครเธอจะไม่สามารถมีความสุขได้หรอก
ถ้าเธอหลงใคร การใช้เหตุผลจะตกไป เมื่อเขาทำผิดเธออาจจะเห็นว่าไม่เป็นไร แล้วจะช่วยกันได้อย่างไร เมื่อเขาทุกข์เธอก็ทุกข์ตาม เพราะโง่ เพราะไม่รู้ เพราะยึดในตัวบุคคล
ที่หลวงพ่อสอนน่ะ หมายถึงให้เธอมีคู่ธรรม ไม่ใช่ให้โง่ขึ้นนะ"
"เข้าใจแล้วเจ้าค่ะหลวงพ่อ"
"เออ คนนึงก็ยังดื้อ คนหนึ่งก็นิ่งเกิน คนนึงร้อนไปอยู่ อีกคนนึงเย็นไป ช่วย ๆ กันจะได้สมดุลขึ้น"
พิมยิ้มเขิน “พิมคิดว่าเย็นต้องอยู่กับเย็น ร้อนกับเย็นไม่ทำเขาแย่ขึ้นหรือคะ”
“ไม่เสมอไปหรอก นิสัยเก่าเราน่ะร้อน แต่เรามีความตั้งใจและมีวิธีการที่ถูกในการปรับเปลี่ยนนิสัย ฝึกปฏิบัติธรรมมา รู้ว่าจะจัดการกับกิเลสยังไง อยู่กับโยมผู้ชายนี่ เค้าเย็นเราก็ได้กระแสเย็นจากเขา ทำให้เรายิ่งก้าวหน้าได้มากขึ้น และบางทีเค้าเย็นเกินก็จะได้เป็นบททดสอบเราด้วยว่าเรายังร้อนอยู่ไหม กิเลสน่ะมีขึ้นมาให้เห็นจะได้ละ อยู่คนเดียวไม่เห็นไม่รู้ว่ามันยังหลบอยู่ข้างใน มันก็ไม่ได้ละ ไม่ได้เรียนรู้โทษของมัน
ส่วนในแง่ที่เราจะเป็นประโยชน์กับโยมผู้ชายได้นี่ก็อย่างที่บอก เค้าเป็นคนเย็นเกิน ยอมคนมากไป มีเราอยู่เค้าจะอุ่นขึ้น เค้าเป็นน้ำดับไฟในใจพิม ส่วนพิมจะเป็นไฟให้กำลัง เป็นพลังให้เค้าก้าวเดิม พิมจะช่วยเรื่องการภาวนาเค้าได้มากในแง่กำลังใจ”
“ค่ะ หลวงพ่อ”
คืนนั้นนพกลับมาทบทวนสิ่งที่หลวงพ่อพูด ใจไม่ได้เชื่อหลวงพ่อเต็มร้อย แต่เพราะใจก็แอบมีความรู้สึกดี ๆ กับพิม จึงยินดีสานสัมพันธ์ต่อ
พิมก้าวไปสู่ความรักแบบใหม่ ความรักแบบที่เป็นผู้ใหญ่ พร้อมรับผิดชอบตนเองและคนที่รักได้เต็มตัว ไม่เกี่ยงว่าฉันเป็นหญิง เขาเป็นชาย เขาต้องเอาใจใส่ฉัน เธอต้องทำตัวให้น่ารักก่อนจึงจะรัก เพราะแต่ละคนต่างรู้หน้าที่ตนเอง ดูแลตนเองดี และไม่ทำตัวเป็นภาระต่อกัน
ใจของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ฝึก เต็มไปด้วยกิเลสและความพร่อง เหงาและต้องการความสุขไม่รู้จักอิ่ม จึงมีความรักแบบเรียกร้องเพื่อเติมเต็มความขาดในใจ แต่สำหรับคนที่ปฏิบัติธรรมแล้ว แม้ใจอาจจะยังมีกิเลสไม่ต่างจากคนทั่วไปแต่รู้วิธีจัดการ เวลาที่มีปัญหาไม่เข้าใจกัน แทนที่จะโทษอีกฝ่าย ก็เข้าใจก่อนว่าที่ไม่เข้าใจกันเพราะต่างคนต่างมองเรื่องราวจากมุมมองของตัวเอง จากประสบการณ์ที่ต่าง จากการเลี้ยงดูมาต่าง แทนที่จะโกรธอีกฝ่าย ก็เอาใจเขามาใส่ใจเรา ใจเปิดรับฟังความเห็นของอีกฝ่าย หรือถ้าโกรธอยู่ก็จะกลับไปทบทวนตัวเองว่าก่อนว่าตัวเองโกรธเพราะอะไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็สรุปได้ว่า โกรธเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคาดหวัง หายโกรธแล้วก็มาคุยกันใหม่ หรือบางเรื่องที่เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กก็ไม่ติดใจ สามารถทิ้งไปได้
พิมและนพดำเนินชีวิตคู่ด้วยความรัก ไม่ใช่ความอยากได้ อยากเอา ก็เลยรู้สึกสบายใจที่ได้คบกัน และรู้สึกว่าคบกันแล้วก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ คือมีความสุขขึ้นเรื่อย ๆ