คนนี้เป็นคู่ของเรา? & ทำอย่างไรให้เจอคู่บุญ
ส่วนหนึ่งช่วงถามตอบ น้องถามพี่ตอบ จากประสบการณ์ช่วยคนที่มีทุกข์เรื่องความรักสามร้อยกว่าคน หนังสือ คู่มือความรัก
จะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้เป็นคู่ของเรา
ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เป็นตัวกลั่นกรอง แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างเหตุไว้ มันไม่มีทางได้หรอก ต่อให้เรารู้ทั้งรู้ แต่สร้างเหตุเก่าไว้ว่าต้องแต่งงานกับโจร กรรมมันพาให้ต้องไปแต่งงานกับโจร
จะดูว่าเหมาะสมไหม ก็คือใจเรายอมรับ แต่ละคนที่เข้ามาแล้วใจเรายอมรับ ณ ช่วงเวลาใด แปลว่ามันเป็นคนที่เหมาะสม ณ ช่วงเวลานั้นอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนที่มาให้ความทุกข์ ก็แปลว่าเราทำกรรมไว้ ก็ต้องใช้ ต้องยอมรับ มีอะไรเล็กๆน้อยก็ต้องเอามาเรียนรู้ ถ้ายังปัดออก ว่าเขามาทำเรา เขาผิด เขาต้องเปลี่ยน นี่แปลว่ายังไม่ได้ใช้กรรม แถมยังเป็นการสร้างกรรมใหม่ ไม่ได้ให้ยอมรับแบบให้เขาทำอะไรก็ได้คือ อันนั้นก็ยอมรับอย่างหนึ่งแต่เป็นการยอมรับแบบบื้อๆ แบบนั้นก็ใช้ไปเรื่อยๆ จุดสิ้นสุดที่เป็น short cut ที่พี่พบ คีย์เวิร์ดอยู่ที่ “ทุกข์เรื่องอะไรก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์เช่นนั้นอีก” ตรงนี้เองที่จะทำให้หลุดออกจากวาระกรรมตรงนั้นอย่างเร็วที่สุดแล้ว
ยกตัวอย่างเรื่องของพี่ แฟนคนแรกนี่พี่เลือกด้วยลูกกะตา ก็เหมือนคนทั่วไปที่ดูที่ภายนอก ผู้ชายก็เอาสวยไว้ก่อน ผู้หญิงก้อยากได้แฟนหล่อไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยดูทีหลัง คือตอนนั้นยังไม่ได้รู้เรื่องกรรมอะไรเลย พอแฟนคนที่สอง หลังจากอธิษฐาน ขอให้มีคู่ที่เหมาะสมและเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณไปพร้อมๆกัน พี่ก็มาเจอ ตอนแรกที่เจอก็ลงล๊อค ถูกใจ ใช่เลยทุกอย่าง แล้วต่อมาก็เริ่มมีปัญหา มันจะเป็นประมาณนี้คือ ถึงเวลาก็เข้ามาเอง มีเหตุให้เจอกันง่ายๆ ดังนั้นเนี่ย เรา ไม่มีทางที่จะเจอคนที่เหมาะสมกันระยะยาวตั้งแต่วันแรก เพราะกรรมเราก็ยังมี และเราก็ยังไม่ได้เรียนรู้อะไร เราต้องค่อยๆปรับปรุงตัวเองไป คือแต่ละคนทำกรรมมาแตกต่างกัน มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้และปรับปรุงต่างกัน แล้วคนที่เข้ามาเราก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนแทนเค้า เพราะเค้าก็ต้องเหมาะสมที่จะมาเจอคนแบบเรา เรามุ่งสนใจที่การขัดเกลาแก้ข้อเสียของตัวเองเป็นหลัก ขัดเกลาตนเองไปเรื่อยๆจนเปลี่ยนจากข้างใน
ทำอย่างไรจะได้เจอคู่บุญ
ก็ตามกฎแห่งกรรม ก็ต้องไปสร้างเหตุที่ดีก่อน อยากได้คู่แบบไหนก็เป็นแบบนั้น หรือไปทำให้คนอื่นเจอความสุขแบบนั้น จะช่วยด้วยการอธิบาย ให้ปัญญากับผู้คนก็ได้ ผลเยอะสุด ยิ่งทำวงกว้างก็ยิ่งให้ผลเยอะ สำคัญที่เราทำด้วยเจตนาเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลอะไรจากเขา ไม่แม้แต่ต้องทำเพื่อหวังจะได้ แต่ทำเหตุถูกแล้วผลถูกเอง ยกตัวอย่างพี่นี่ช่วยคนมาสามร้อยกว่าคน จนเชื่อมโยงทำความเข้าใจได้ว่าที่มาของทุกข์มันมาจากไหน แล้วผลบุญก็ส่งมาเรื่อยๆ