ความสุขอยู่ที่ไหน?
คนเราทุกคนมีสิ่งที่ตนมองหา ค้นหา หวังว่าจะพบ แต่...ปัญหาก็คือ "เรารู้ไม่ชัดว่าสิ่งที่กำลังหาคืออะไร"
สมมุติให้ง่ายก็เช่นจริงๆแล้ว ร่างกายต้องการ A จิตใจต้องการ B แต่ในระดับความคิดกลับเข้าใจผิดไปว่าต้องมองหา C มา เมื่อได้ C แล้วจะพอใจ จะหยุด เมื่อได้ C มาแล้ว จิตใจยังเรียกร้องหา B อยู่ ก็เตลิดวิ่งไปหา D E F G ซึ่งก็ไม่ใช่ C อยู่ดี
ซึ่งก็ลงเอยด้วยการแสวงหาไปเรื่อยๆ และที่ร้ายก็คือ บางที C อยู่ตรงหน้า ก็มองข้ามไป ไม่สนใจ อีกต่างหาก
เคยยกตัวอย่างเรื่องนี้เทียบกับสภาพที่จะเกิดขึ้นตอนที่ของหาย เช่น รู้ตัวว่าโทรศัพท์มือถือหายตอนบ่ายสอง ซึ่งถ้าจำได้ว่า ออกจากบ้านมาตั้งแต่ 7 โมง มาถึงที่ทำงานแล้วตั้งแต่ 8 โมง ปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าเชื่อว่ามือถือหายที่ทำงาน ทั้งๆที่จริงๆแล้วลืมไว้ที่บ้าน หายังไงก็ไม่เจอ "เพราะตีกรอบไว้"
คนที่มีประสบการณ์ชีวิตหลายคนจึงบอกต่อๆกันว่าให้ "คิดนอกกรอบ" ซึ่งคนจำนวนมากทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าความคิดตนเองถูกจองจำอยู่ในกรอบ มองไม่เห็นกรอบด้วยซ้ำ
"ปัญหาถัดมาคือ รู้สึกว่ามีอะไรก็ไม่รู้หายจนต้องวิ่งหา โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังมองหาอะไร แต่รู้สึกว่าต้องหา ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา เพราะไม่รู้ชัดๆว่าต้องหาอะไร จึงต้องหาไปเรื่อยๆ"
ที่แม้แต่ได้เจอของที่จริงๆมองหานั้นแล้ว ก็จะมองข้ามไปเพราะไม่รู้ว่านั่นแหละ ของจริงๆที่มองหา
แล้วไปวิ่งหาสิ่งที่ไม่ใช่ของแท้ต่อไป เช่น รู้สึกว่าความสุขหายไป ก็ไปวิ่งหาความสุข
โดยไม่เข้าใจว่าความสุขทุกครั้งที่ได้มานั้น ไม่ว่ายังไงก็จะต้องหายไปแน่นอนเมื่อเหตุหมดลง
อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์สอนบ่อยๆ ว่าคนเราถูกสอนให้วิ่งไล่หาความสุข
ตอนเล็กๆก็ถูกสอนว่า ถ้าเชื่อฟังพ่อแม่แล้ว (พ่อแม่!) จะมีความสุข
โตขึ้นมาหน่อยก็จะถูกสอนว่า ให้ตั้งใจเรียนให้มีผลการเรียนดีๆแล้วจะมีความสุข
พอจบมาก็จะเดินตามๆกันไปว่าถ้าทำงานให้มีตำแหน่งสูงๆ หรือถ้าทำงานส่วนตัวก็ต้องมีเงินมาก แล้วจะมีความสุข
ทำงานไปจนแก่ เริ่มเหนื่อย เริ่มล้า เริ่มป่วย ก็จะคิดว่า ถ้าไม่ป่วยได้ ไม่ล้าได้ ก็จะมีความสุข
เมื่อแก่ตัวลงป่วยๆมากๆ เคลื่อนไหวไม่ได้หรือเคลื่อนไหวลำบาก ก็จะคิดว่า ถ้าตายซะได้ก็จะมีความสุข
"ที่ว่าหาสิ่งที่ไม่รู้นั้น จริงๆแล้วหาผิดที่" เพราะสิ่งที่หายไปนั้นอยู่ในใจ
และที่มันเหมือนจะหายนั้น เพราะเรามองไม่เห็น
และที่ไม่เห็นนั้นไม่ใช่เพราะมันหาย แต่เป็นเพราะไม่ได้มองไปที่มันตะหาก
คือไปคิดเอา ไปตีกรอบ ติดอยู่ในกรอบว่ามันอยู่ข้างนอกบ้านหรือนอกตัว
เหมือนที่เชื่อว่าโทรศัพท์มือถือหายนอกบ้าน แต่จริงๆแล้วมันอยู่ในบ้าน
เหมือนจิตที่ก็อยู่ในกายในใจนี้นี่เองที่หานอกบ้านเท่าไหร่ก็ไม่มีทางหาเจอ
ต้องดูอยู่รู้อยู่ในขอบเขตของกายนี้ จึงจะได้เห็นสิ่งที่มองหาแล้ว ตรงนี้คือการหาตัวเราเอง (รู้ตัว) ที่เมื่อเจอแล้ว ความรู้ตัวนี่เองที่จะเป็นสิ่งที่ดับความเหงาที่ผลักดันให้เราค้นหา
เพราะความเหงาคือความอยากรู้จักตัวเอง ความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน
ซึ่งแทนที่จะดูไปความเป็นเราตรงๆ ก็ไปหาข้างนอก ไปหาสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าฉันมีตัวตน เช่นเหล้า บุหรี่ หรือหาเพื่อน หาแฟน หาคนที่จะมาสะท้อน แสดงให้เห็นให้รู้สึกว่าฉันมีตัวตน ฉันสำคัญ และเมื่อรู้สึกว่าฉันมีตัวตนแล้ว ความสุขจะเกิดตามมา จึงดูเหมือนว่า คนเราวิ่งไล่ตามความสุข
ซึ่งการวิ่งไล่ตามความสุขก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่ง ที่คนที่ไม่สามารถคิดนอกกรอบของความสุข(หรือกรอบของความรู้สึก) ก็จะถูกหลอกให้วิ่งไล่หาความสุขไปเรื่อยๆไม่รู้จบ สังสารวัฏจึงยาวนานจนวังเวง... จะมีสักกี่คนที่สามารถคิดนอกกรอบของความสุขและสามารถมองเห็นภาพใหญ่นี้ว่าตน เอง(เราส่วนมากๆๆ)กำลังวิ่งหาความสุข และยิ่งไปกว่านั้นก็หลีกหนีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา
คนที่คิดนอกกรอบของความสุขและทุกข์ได้ จะคิดและมองเลยไปอีกขั้นด้วยการทำความเข้าใจกับทุกข์และสุขว่าเกิดอย่างไร ดีอย่างไร ไม่ดีอย่างไร ความสุขเกิดขึ้นจากไหน ความทุกข์คือะไร เกิดขึ้นจากอะไร ดับไปได้อย่างไร
"โดยไม่ไปเสียเวลากับการวิ่งตามหาความสุขและทุกข์"
พุทธศาสนาสอนกระบวนการที่จะทำให้รู้จักกับความทุกข์และความสุขอย่างชัดเจนด้วยตนเอง
ซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากการปฏิบัติไปสักระยะหนึ่งก็คือ เกิดความเห็นที่ละเอียดขึ้นจนสามารถมองข้ามความสุขและความทุกข์ไปอีกถึง ระดับที่ระลึกได้อยู่เสมอว่า ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ ต่างก็มีการเกิดและจะต้องดับไปทั้งสิ้น ไม่สามารถอยู่ถาวรได้
ซึ่งผู้ที่เห็นอย่างนั้นแล้วจะเริ่มคลายความยึดมั่นในความสุขทุกข์ที่เกิด ขึ้นตรงหน้าและทำท่าว่ากำลังจะดับไป
ผู้อ่านทุกท่านย่อมสรุปได้เองว่า ระหว่าง
"ผู้ที่หลับในความตื่น คือมองไม่เห็นภาพรวม มุ่งเพียงการไล่ตามหาความสุขและหลีกหนีความทุกข์ไปเป็นครั้งๆ
เทียบกับผู้ที่เห็นภาพรวมข้ามขั้นไป คือเห็นการเกิดขึ้นของสุขและทุกข์ หรือผู้ที่เห็นว่าทั้งสุขทั้งทุกข์ มันก็เพียงเกิดและดับ
และยิ่งไปกว่านั้น เห็นว่าสุขและทุกข์นั้น เกิดดับเองตามธรรมชาติเช่นเดียวกับฝนตก แดดออก บังคับไม่ได้ อย่างไหนดีกว่ากัน "
ยาบางอย่างรักษาเป็นรายครั้ง ฉีดเข็ม(หรือขวด-หรือกลม หรือแบน หรือซอง หรือมวน หรือตัว หรือขายเป็นกรัม เช่นยาเส้นละ 1,000 บ้าง 2,000 บ้าง ไม่นับค่าเดินทางไปฉีดยา (ตามผับ ตามบาร์หรือสถานที่ปาร์ตี้) แต่ต้องฉีดเกือบทุกวัน
ฉีดแล้วอาจจะติดยา ติดต้องฉีดมากขึ้น ตับแข็ง เป็นสาเหตุของมะเร็ง เป็นสาเหตุของการติดโรค
แต่มียาบางอย่างที่ฉีดแล้วหายขาด ตอนฉีดก็ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเสียเงินและไม่ต้องเจ็บตัวเลย เพียงเฝ้ารู้อยู่ที่จิตนี้เพื่อทำความเข้าใจการเกิดขึ้นของความสุขและความทุกข์เพื่อให้เห็นภาพการเกิดและดับของความรู้สึกสุขทุกข์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้วโดยไม่ต้องวิ่งหาเครื่องยึดเหนี่ยวภายนอกใดๆ
นี่คือการทาน ศีล ภาวนาอันเป็นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาครับ
*********************
ยาบางอย่างรักษาเป็นรายครั้ง แต่ต้องฉีดเกือบทุกวัน ฉีดแล้วอาจจะติดยา ติดต้องฉีดมากขึ้น ตับแข็ง เป็นสาเหตุของมะเร็ง เป็นสาเหตุของการติดโรค แต่มียาบางอย่างที่ฉีดแล้วหายขาด ตอนฉีดก็ไม่ต้องแสวงหา