เหงา..... ใจจะขาดแล้วเอย

alone2ความเหงาเป็นความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน คือต้องมีคนมาทำให้เขารู้สึกว่าเขามีตัวตน มีความสำคัญ 

ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีตัวตน ก็ไม่หายเหงา ต่อให้คุณสมบัติดีขนาดไหนก็ตาม มันไม่ได้ต่างกันที่ความชอบ 

และไม่ใช่การอยากมีคนมาอยู่ข้างๆโดยคนๆนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขา อย่างที่ฝรั่งเขามีคำว่า lonely in the crowd คือเหงาในขณะที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน

ที่เคยสังเกตความเหงา มันไม่ใช่การที่จิตทะยาน มันยังไม่ได้อยาก มันเป็นความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน เวลาเหงาน้อยๆ ได้กินอาหารอร่อยๆก็หาย ได้ดูหนังฟังเพลงก็หาย 

แต่ถ้าเหงามากขึ้นนี่ ต้องใช้อะไรที่บอกถึงความมีตัวตนได้แรงกว่านั้น ความแรงก็นับตามจำนวนอายตนะที่ใช้ครับ เช่นกินอาหารนี่แค่จมูก ลิ้น ส่วนดูหนังนี่ตากับหู โดยไม่ว่าจะกรณีไหน มีใจเป็นใหญ่ทุกกรณีอยู่แล้ว 

และสำหรับผู้ที่ดับเหงาด้วยการกิน ผลที่ตามมาย่อมเป็นความอ้วน 

ส่วนผู้ที่ดับด้วยผัสสะเดิมๆผ่านเพียง 2 อายตนะจนเกิดความคุ้นชิน การดับความเหงาแบบเดิมก็จะเริ่มไม่ได้ผล และต้องใช้ผัสสะที่แรงขึ้นไปและเข้ามามากกว่า 2 เช่นการเสพสิ่งเสพติดเช่นบุหรี่ สุราหรือยาเสพติดซึ่งให้ผัสสะที่แรงกว่ากันมาก ตลอดไปจนการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งสามารถกระทำได้ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ครบทุกอายตนะ 

และหนักข้อขึ้นไปก็ทั้งยาทั้งเพศสัมพันธ์รวมกัน นั่นเป็นสาเหตุที่ลูกคนมีฐานะดีมากๆจึงมักจะไปจบอยู่ที่เพศสัมพันธ์และยาเสพติดอย่างแรง เพราะผัสสะธรรมดาเช่นอาหาร เครื่องดื่ม บ้านสวยๆหรือรถสวยๆ แพงๆ ดับความเหงาของเขาไม่ได้แล้ว

ตอนที่เหงา มันเป็นความรู้สึกว่างเปล่า รู้สึกว่าฉันไม่มีตัวตน ไม่มีใครสนใจ ไม่อยากอยู่คนเดียว ตอนนั้นจิตยังไม่ทะยาน แต่ตอนที่ปรุงแต่งไปว่าถ้ามีอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจึงจะหายเหงา จิตจะไปทะยานอยาก(เกิดตัณหา)เอาตอนนั้น

ด้วยประเด็นดังกล่าว จึงเรียนไว้ว่า ความเหงา=ความอยากรู้ว่าฉันมีตัวตน ซึ่งดับได้ตรงๆในเบื้องต้นด้วยความรู้ตัว(รู้สึกตัว) ไปจนกระทั่งรู้เห็นตามจริงแล้วว่าตัวตนไม่มีอยู่จริงเลยไม่ว่าจะในกาย ในขันธ์หรือในจิตก็ตาม ความเหงาจึงจะลดลงอย่างถาวร

ข้อมูลทั้งหมดที่สรุปไว้อย่างนั้น มาจากที่ได้โอกาสเข้าไปร่วมแก้ไขปัญหาชีวิตของคนหลายร้อยคนด้วยการนำธรรมะไปเสนอให้เขาครับ โดยเฉพาะการเจริญสติจนเกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาเหล่านั้นครับ

******************

แถมน้องโลชั่นอีกนิดนึงคือ

ที่เราไปหลงเชื่อที่คนอื่นเขาบอก ว่าเราไร้ค่า ไม่สวย หรือโทรมหรืออะไรก็ตามนั้น เป็นผลจากการที่เราไม่รู้จักตัวเองดีพอด้วยครับ

ถ้าเรารู้จักตัวเองดีแล้ว เราจะไม่หวั่นไหวไปกับคำของใคร หรือถ้ารู้จักดีแต่ยังไม่มาก เราก็อาจจะไหวไปบ้าง แต่ไม่มาก

พูดอีกอย่างก็คือ ถ้ารู้จักตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะหวั่นไหวน้อยลงเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพี่บอกว่าน้องโลชั่นมีขาเดียว น้องจะหัวเราะเยาะพี่ว่าพี่โจโจ้นี่ตาบอดแล้วรึเปล่า หรือว่าเชื่อพี่ แล้วเสียใจฟูมฟายว่าน้องมีขาเดียวล่ะครับ 

เช่นเดียวกัน ถ้าน้องโลชั่นรู้ว่าตนเองมีค่าแล้ว เพราะทำทานสม่ำเสมอ เป็นผู้เสียสละแรงกายแรงใจเพื่อส่วนรวมอยู่อย่างสม่ำเสมอ ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ไม่เคยละเมิดจิตใจใครโดยลุแก่โทสะ โลภะหรือราคะของตนเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ก็โยกคลอนความรู้ของเราไม่ได้ เพราะความรู้นั้นชัดแล้ว จึงมีความเข้าใจว่า ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ก็เปลี่ยนความจริงไปไม่ได้เลย

เช่นเดียวกัน เรื่องรูปร่างหน้าตาของเรา ถ้ารู้ตัวดีว่าเราเป็นใคร เป็นอย่างไร ไม่ว่าใครจะบอกเราอย่างไร ก็ไม่หวั่นไหว เพราะสิ่งที่เขาบอก มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงแต่อย่างใดเลย เป็นเพียงมุมมอง เป็นเพียงความคิดเห็นของคนอีกคนหนึ่งเท่านั้น

ความรู้ตัว จึงทำให้องอาจ ไม่เก้อเขิน ทำให้หนักแน่น ทำให้ละเอียดรอบคอบ ตัดสินใจแล้วไม่โลเลครับ หัดรู้ตัวกันเถิดครับ 

*****************

กรณีเกลียดตัวเองที่เคยพบมา เป็นเรื่องของคนที่เหงาอยากเหลือเกิน อยากรู้สึกว่าตัวเขามีคุณค่าเป็นที่ต้องการ ด้วยสาเหตุว่าเขาต้องทำเพื่อเอาใจทุกคนในครอบครัว แล้วตัวเขาไปไหน เขาไม่ได้ทำอย่างที่ตัวเขาเองต้องการเลย

เพื่อสนองความต้องการดังกล่าว และเพื่อแสวงหา "คนที่ใช่" สิ่งที่เขาทำก็คือ เปิดทางให้ผู้ชายที่ "ดูมีคุณสมบัติเพียงพอ" เข้ามาในชีวิต ครั้งละสอง-สามคน และทดลองความ "เข้ากันได้" ด้วยการเดินห้าง ทานข้าว ดูหนังกับคนเหล่านั้น 

และเมื่อพบว่าไม่ใช่ ซึ่งก็ตามประสาของผู้ชายนะครับ ที่เกือบทั้งหมดที่จะ "ได้คืบก็จะเอาศอก" คือเริ่มจากการเดินห้าง ก็จะเริ่มกระทบไหล่ ตามด้วยการแตะเนื้อตัว จับมือถือแขน ตามมาด้วยการโอบกอดในโรงหนัง ฯลฯ ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นเริ่มรุกเธอ "เกินไป" เธอก็จะตัดคนเหล่านั้นทิ้งด้วยอาการ "terminate" แบบฉับพลันทันใด ประเด็นสำคัญอยู่ตรงการ terminate นี่เองครับ ที่เขาทำแบบ "แรง" ตัดแบบฉับพลันประเภท "ไม่ต้องโทรมาแล้วนะ เบื่อ!" ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็จะเกิดอาการช็อคและทุรนทุรายไปเป็นเวลานานด้วยความที่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และจุดนั้นเองที่เขาได้ "ดื่มกิน" ความพึงพอใจว่าเขาช่างมีความสำคัญเสียเหลือเกิน มีคนทุรนทุรายคิดถึงเขาแบบกินไม่ได้นอนไม่หลับทีละหลายๆคน

ประเด็นที่จะนำเสนอเพื่อให้ภาพคล้ายๆอย่างนี้ชัดเจนขึ้นก็คือ การที่คนๆหนึ่งดื่มกินความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นนั้น มันไม่ได้ทำให้เกิดความรักตัวเองขึ้นมาได้ ยิ่งทำอย่างนั้นไปหลายครั้งเข้า กรรมที่ก่อตัวสะสมขึ้นก็จะส่งผลให้เขาก็จะเริ่มเกลียดตัวเองขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งรู้สึกว่าตัวเขาไร้ค่าขึ้นไปอีก เพราะไม่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์หรือให้อะไรที่เป็นความสุขกับคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัว

นายโจโจ้


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.