ความรักจากความเมตตา

bird2การเสพเมตตานานๆนั้น เหมือนจิตได้ดื่มกินน้ำเย็นรสหวานน่าติดใจ

เมตตาเป็นสิ่งที่หาได้ยากในผู้คนยุคเรา และเมตตาก็เป็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นได้ยากในเราเองเมื่อขาดแคลนบุคคลที่น่าเมตตา แต่สำหรับนักภาวนา ผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสติตามรอยบาทพระศาสดา เมตตาเป็นธรรมะไม่จำกัดกาล ไม่จำเป็นต้องรอเจอบุคคลที่ควรมีเมตตาให้เสียก่อน แต่ฝึกรินเมตตาได้เลย ผ่านน้ำคำและน้ำใจ กระทั่งแก่กล้าพอจะเขยิบขึ้นถึงขั้นแผ่เมตตาไม่มีประมาณ

ใคร ว่าเอาคนในโลกมาเป็นอุปกรณ์ภาวนาไม่ได้ อย่างน้อยก็กำหนดให้เป็น ‘เป้ายิงเมตตา’ ได้อย่างหนึ่งล่ะ คนเราต้องเจอเรื่องกระทบใจจากผู้คนรอบข้างเสมอ และเมื่อถูกกระทบย่อมเกิดปฏิกิริยาทางจิต

ปฏิกิริยาทางจิตนั่นเองคือสิ่งที่เราต้องสังเกต ว่าเป็นไปในทางดีหรือทางร้าย

หากเป็นไปในทางดีก็คือคล้อยตามกระแสเมตตา

หากเป็นไปในทางร้ายก็คือคล้อยตามกระแสพยาบาท

สองกระแสนี้เป็นคู่ปรับกัน หากคล้อยตามกระแสใดมาก จิตของเราก็จะเข้าฝ่ายนั้น

ข้อ ปฏิบัติเพื่อดับโกรธ ละพยาบาท ที่ชาวพุทธรู้จักกันดีคือการแผ่เมตตา แต่แผ่เมตตาทำอย่างไรล่ะ?

มีอุบายหลายต่อหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่นง่ายที่สุด คุ้นที่สุดเห็นจะไม่มีอะไรเกินการท่องบ่นภาวนาว่า สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ ขอสัตว์โลกทั้งหลายอย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย แต่เท่าที่ฉันเห็นด้วยตาเปล่านั้น บางคนภาวนาอยู่เกือบสิบปี ยังหน้าตาเหี้ยมเกรียมอยู่เหมือนเดิม เกิดเรื่องเกิดราวแล้วยังบ๊งเบ๊งได้เท่าคนมีโทสะแรงทั้งหลายอยู่ดี

ฉะนั้น เพียงการสวดด้วยปาก หากขาดใจจริงอยู่เบื้องหลัง ก็คงไม่ต่างกับนกแก้วนกขุนทองถูกสอนให้ท่องอะไรที่มันไม่มีวันรู้ความหมายไป จนตาย

ว่ากันถึงวิธีการแผ่เมตตาของพระพุทธเจ้านั้น ฉันตรวจดูในพระไตรปิฎกไม่พบขั้นตอนตรงๆ มีแต่อุบายทางอ้อมในเชิงที่จะทำให้เข้าใจลักษณะจิตขณะแผ่เมตตา เช่นในเตวิชชสูตรท่านให้นึกถึงความปราโมทย์ ความมีโสมนัสของคนเพิ่งฟื้นไข้ที่ได้กำลังวังชากลับคืนมา แล้วให้เทียบเคียงว่าพยาบาทเปรียบเหมือนโรค

เมื่อละพยาบาทเสียได้ก็เหมือนหายจากโรค มีแต่ความปลอดโปร่งโล่งสบายทางใจ โสมนัสที่เกิดขึ้นหลังจากละพยาบาทได้นั่นเอง ปรุงจิตให้พร้อมแผ่เมตตาออกไปโดยไม่มีประมาณ

หาก พิจารณาให้ง่ายเข้า ก็อาจกล่าวว่าจิตขณะตั้งต้นนั้น ถ้าเป็นอภัย ถ้ามีความสละการเพ่งโทษ ถ้าทำให้เลื่อมใสในการไม่ผูกโกรธจองเวรแล้ว ย่อมบังเกิดความโสมนัสดุจคนเพิ่งฟื้นไข้ อาศัยโสมนัสระดับนั้นเองเผื่อแผ่ออกไปอย่างไม่จำกัดด้วยจิตอันเปิดเผยเต็ม ที่

ค่ำคืนในช่วงระหว่างนี้ ฉันอุทิศเวลาทดลองแผ่เมตตาตามความเข้าใจของตัวเอง ขึ้นต้นมาคือนึกถึงศัตรู และปลงใจให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข เพื่อแลกกับความโล่งหัวอกและโสมนัสเหมือนคนป่วยเพิ่งฟื้นไข้ แล้วก็พบกับตนเองว่าโสมนัสในวินาทีที่ปลงใจได้นั้น มีความแรงพอจริงๆ คือปรุงจิตให้เป็นลักษณะเปิดเผย ไม่หมกมุ่นครุ่นคิดคับแคบคล้ายสมาธิอ่อนๆ แต่ปลอดโปร่งกว่ากันเพราะซ่านกระแสเมตตากว้างขวางออกมาจากหัวใจ

จาก นั้นเพียงหลับตา และคล้ายมองผ่านเปลือกตาออกไปดูเวิ้งฟ้าด้วยความผ่อนคลาย ประคองโสมนัสอันเกิดจากอภัยทาน ก็กลายเป็นกระแสทางใจของจริง ที่ปรารถนาความไม่เบียดเบียน ปรารถนาความไม่มีเวร ปรารถนาความสุขโสมนัสในใจเราจงแผ่เข้าไปถึงหัวใจสรรพชีพทั่วสากลจักรวาล

ธรรมชาติ ของโสมนัสย่อมเลี้ยงจิตให้พึงใจอยู่ในสภาพความเป็นเช่นนั้นได้นาน ฉันไม่พยายามกำหนดให้เกิดอะไรขึ้นมากไปกว่ามีสติรู้โสมนัสอันตั้งต้นที่ใจ ซึ่งถ้าปลอดโปร่งโล่งตลอดปราศจากความเพ่งบังคับแล้ว ย่อมมีลักษณะกว้างเหมือนฟองอากาศใสที่เริ่มกินบริเวณรอบตัวในเขตจำกัดหนึ่ง ก่อน หากมีวิริยะประคองให้ต่อเนื่องเพียงครู่หนึ่ง ก็จะค่อยๆขยายวงออกไปเรื่อยๆ เป็นที่รู้สึกได้ด้วยตนเอง

เมื่อกระแส โสมนัสอ่อนตัวลง ฉันก็ไม่พยายามบังคับเหนี่ยวรั้งให้ยั่งยืน เมื่อรู้สึกดันๆออกไปแบบที่ทำให้ตึงขมับหรือเกร็งส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย ฉันก็รีบรู้ให้ทันว่านั่นเริ่มมีอาการเพ่งมากเกินเสียแล้ว ฉันสังเกตว่าที่ถูกต้องมีสติรู้ตั้งมั่นอยู่ตรงกลางๆ คล้ายเรานั่งมองผนัง มองฝ้าเพดาน มองนกมองไม้อย่างปราศจากความคาดหวัง ไร้ความคิด ไร้เจตจำนงอื่นใดนอกจากปรารถนาให้สุขภายในฉายออกไปสู่ภายนอกด้วยลักษณะสบาย ที่สุด เป็นการแผ่เมตตาเอาสุขให้ตนเองก่อนแล้วจึงเผื่อแผ่ไปภายนอก ไม่ใช่ยิ่งแผ่เมตตาตัวเองยิ่งเครียด ยิ่งขาดสติ

ฉันลองแผ่เมตตาทั้ง ก่อนและหลังทำสมาธิรู้ลมหายใจ พบว่าแผ่เมตตาภายหลังทำสมาธิจะดีกว่า เพราะจิตมีกำลัง มีความตั้งมั่นบ้าง ต่างจากก่อนทำสมาธิที่อาจกำลังเหม่อนิดฟุ้งหน่อย ยังอยู่ในสภาพไม่ค่อยเต็มใจแผ่เมตตาให้ใครได้

ฉันก็เห็นความเชื่อมโยงบางอย่าง ระหว่างการฝึกแผ่เมตตากับนิสัยใจคอที่เปลี่ยนไป ได้ตระหนักว่าข้อปฏิบัติแต่ละอย่างที่พระพุทธเจ้า ‘แนะให้ทำ’ หรือ ‘คะยั้นคะยอให้ทำ’ นั้น ไม่ใช่ส่งผลแคบๆแค่จุดหนึ่งจุดเดียว เช่นการแผ่เมตตานี้ หาได้มีเพียงเมตตาจิตไว้เอาชนะคะคานพยาบาทจิตเป็นเป้าใหญ่เท่านั้น แต่ยังยกระดับน้ำใจคิดเผื่อแผ่โดยตรง เพราะเสพจิตที่มีลักษณะเผื่อแผ่ยิ่งใหญ่ไพศาลมาแล้ว เมื่อจะทำทานเป็นทรัพย์ ทำทานเป็นอภัย ก็ย่อมเห็นว่าน้ำจิตระดับนั้น

ถ้ายังมีเสียดาย ยังมีหวง ยังมีวัตถุประสงค์แอบแฝง ก็จะไม่เกิดความชุ่มชื่นเต็มอิ่มได้เลย น้ำใจที่คิดเจือจานอย่างบริสุทธิ์ตั้งแต่ต้นก็คือชนวนแห่งมหาโสมนัสดุจเดียวกับขณะเริ่มแผ่เมตตาอย่างถูกต้องนั่นเอง

ฉันได้ย้อนกลับมาสังเกตสังกาข้อปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจขั้นพื้นฐาน นั่นคือเรื่องของ ‘ทาน’ แต่ก่อนฉันแค่มองง่ายๆว่าทานก็คือยกสมบัติสักชิ้นให้แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะคนยากจน ขอทาน เด็กอนาถา ตลอดจนพวกพนักงานเสิร์ฟตามร้านอาหารที่เอาบริการดีๆซื้อใจลูกค้าให้แจกทิป

แต่ เมื่อฝึกแผ่เมตตาอันฉายออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เห็น ‘จิตเผื่อแผ่สุขไพศาล’ อันยิ่งใหญ่เหลือประมาณ มุมมองเกี่ยวกับการให้ทานก็ต่างไป เพราะไม่ได้ เล็งออกไปที่ผู้รับข้างนอกที่ไหน แต่เริ่มเห็นจิตใจของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก รวมทั้งเห็นผู้รับผลแท้จริงเป็นตนเองในลำดับสุดท้าย

จึงรู้ซึ้งว่า ‘ให้’ ความสุขออกไปจากใจมากแค่ไหน ก็ ‘ได้’ ความสุขกลับมาถึงใจมากแค่นั้น

ทำ ทานนั้นต้องทำด้วยใจเสมอ มือของเราไม่ร่วมรับรู้ ไม่ร่วมยินดีในทานไปกับใจแม้แต่น้อย

จึงต้องถามว่าแต่ละครั้งที่ให้ทานนั้น ใจมีอยู่แค่ไหน แค่ให้อย่างเสียไม่ได้ แค่ให้เพราะอยากตัดรำคาญ แค่ให้เพราะถูกใช้มาทำ แค่ให้ด้วยความชินชาปราศจากปีติ แค่ให้ด้วยความหวังผลตอบแทน แค่ให้เพราะเป็นแค่เศษกระดูกติดเนื้อ แค่ให้เพราะเป็นเศษเงินเหลือใช้ แค่ให้เพราะรู้สึกว่าไม่สะเทือนสมบัติที่มี หรือแค่ให้เพราะอยากสะเดาะเคราะห์ให้สบายใจไปคราวหนึ่ง?

ใจในการคิด ให้มีหลายแบบเหลือเกิน ตั้งแต่แผ่เมตตาเป็น นิสัยในการให้ของฉันก็เปลี่ยนไป การให้กลายเป็นเรื่องของการพัฒนาจิตวิญญาณ กลายเป็นเรื่องของการตกแต่งขัดเกลา กลายเป็นเรื่องของการเปลื้องของหนักลงจากบ่า

ฉันพบว่าหากให้ในระดับ ‘เฉือนเนื้อส่วนหนึ่งทิ้งได้’ เช่นทำแล้วรู้สึกว่าสมบัติพร่องลงกว่าเคยโดยไม่คิดเสียดาย มีความห่วงใยสวัสดิภาพของตัวเองน้อยลง อาทรต่อผู้อื่นมากขึ้น กระทั่งจิตใจสว่างว่างโล่งกว่าเก่า วิธีคิดก็จะค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่เป็นประโยชน์สุขกับตัวเองมากขึ้น

ยก ตัวอย่างเช่นนิสัยขี้กังวลของฉัน ทำงานกลัวศัตรูจะได้หน้ามากกว่า พูดในที่ประชุมกลัวคนจะไม่สนใจไอเดีย หมั่นเอาใจลูกค้าเพราะกลัวผลงานตก แน่นอนว่าฉันทำตามหน้าที่อันควร แต่ไม่ใช่แค่ทำดีที่สุดอย่างเดียว ยังทำด้วยความกลัวไม่เด่น กลัวไม่ได้ดี ตลอดจนกลัวเสียเปรียบไปด้วย จริงอยู่ความกลัวเหล่านี้เป็นของธรรมดาโลก เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนก็กลัวกัน แต่นั่นก็กลายมาเป็นปัญหาระดับโลกด้วยมิใช่หรือ? ลองไปถามบริษัทขายยาดู เขารู้กันทั่ว ยาขายดีที่สุดในโลกได้แก่ยากล่อมประสาท ยาลดความดันโลหิต กับยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร เหล่านี้มันเรื่องเกี่ยวกับความเครียดทั้งสิ้น

คนเราพากันทำตามกระแส ทำในสิ่งที่นึกว่าจะได้ แต่แท้จริงแล้วกำลังลากพาลงเหวกันระนาวต่าง

เมื่อจิตมีกิริยาเป็นให้มากกว่าเอา ฉันก็สบายใจขึ้น ทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าปกติด้วยซ้ำ เพราะเริ่มรับผิดชอบงานด้วยความคิดว่าจะทำให้คนรอบข้างดีขึ้น ฉันเถียงกับศัตรูตัวฉกาจน้อยลง รับฟังเขามากขึ้น ให้อภัยไม่ถือสาในเรื่องจุกจิกเล็กน้อย ไม่ใช่เจอหน้าแล้วเห็นเป็นเป้าที่ต้องเอาชนะคะคานกันท่าเดียวทั้งทางตรงทาง อ้อมเหมือนแต่ก่อน

เขาจะคิดอย่างไร ได้รับผลดีแค่ไหนฉันไม่แน่ใจ รู้อย่างเดียวว่าใจฉันเองมีความสุขมากขึ้นเมื่อจำเป็นต้องทำงานกับเขา ธรรมชาติมีสีสันแปลกประหลาดพิสดารดี คล้ายเส้นผมเส้นเดียวอาจบังภูเขาได้ตั้งหลายลูก เช่นความจริงประการหนึ่งได้แก่ การคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ทำให้เราได้ดีก่อนคนอื่น

คัดจากหนังสือเจ็ดเดือนบรรลุธรรม

http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&;view=category&id=67&Itemid=278

ดังตฤณ


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.