สุขเล็กๆที่เรียกว่ารัก
คราวนี้ไม่ได้จะมาวิจารณ์ภาพยนตร์นะคะ สารภาพว่าไม่ได้ดูหรอกค่ะ แต่จะมากล่าวถึงความสุขที่สร้างขึ้นได้เองในชีวิตคู่
ชายหญิงเมื่อตกลงอยู่ด้วยกันแล้ว ก็เปรียบได้กับคนสองคนที่ตกลงว่าจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน
ครั้งหนึ่งพี่ชายเคยบอกญว่า ทุกคนเปรียบเหมือนคนเดินทาง ชีวิตหนึ่งยาวเป็นไมล์ เราจะเดินทางไกลต้องมีการเตรียมพร้อมก่อนไหม น้ำมันพอไหม? มีอะไรที่จำเป็น และต้องเตรียมพร้อมบ้าง? หรืออยากเดินทางก็ไปเลย ไม่ต้องเตรียม ไม่ต้องคิด ขาดแล้วค่อยย้อนกลับมาเอา ให้เสียเวลาเริ่มต้นใหม่เรื่อยๆ แล้วเดินทางไกลมากเนี่ย เราควรเลือกเพื่อนเดินทางให้ดีก่อนหรือเปล่า คนที่จะร่วมเดินทางกับเราได้เป็นไมล์ๆน่ะ จะสุขจะทุกข์ จะราบรื่น จะตรงทางที่เราอยากไป คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ร่วมเดินทางมีส่วนอย่างมาก ญจะไม่พูดถึงเรื่องวิธีเลือกคนที่เหมาะสม อธิบายเรื่อง ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาซ้ำ เพราะเคยเกริ่นไปแล้วในบล็อกก่อนๆหลายครั้ง
แต่ที่จะเอ่ยถึงในบทความนี้มันเป็นเรื่องการสร้างสุขเล็กๆในการร่วมเดินทาง
ญเชื่อว่าหลายคนอยากมีความรักก็เพราะอยากมีความสุข และหลายๆคนที่อยากแต่งงาน ถ้าไม่นับกลุ่มที่โดนคลุมถุงชน ที่อยากแต่งด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่ายก็เพราะเชื่อว่า แต่งงานกันแล้วจะมีความสุข แต่สังเกตกันไหมคะว่า อะไรที่เราเรียกว่าความสุขน่ะส่วนมากก็เป็นการตามหาให้ได้มาเพื่อดับทุกข์ หรือเดินตามความอยากหรือความต้องการนั่นแหละ ซึ่งความสุขที่แต่ละคนเซทไว้ก็อาจเหมือนหรือแตกต่างกันไป ตามการสั่งสม ประสบการณ์ ความชอบส่วนตัว บางคนความสุขของฉันคือช๊อปปิ้ง บางคนอาจจะเป็นการได้อยู่เงียบๆอ่านหนังสือริมชายหาด บางคนอาจจะเป็นการได้อยู่อย่างสะดวกสบาย ก็แล้วแต่ว่าใครจะเรียกความสุขว่าอย่างไร
ตอนมีความสุขให้ร่วมกันนั้นคงไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนความสุขของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน หรือตอนร่วมทุกข์นี่สิที่เป็นปัญหา
คนเรามักจะรู้สึกว่าตนเองทุกข์ก็ตอนรู้สึกว่ามีปัญหาแล้วหาทางแก้ไม่ได้ หรืออะไรมันไม่เป็นอย่างอยาก ญเชื่อว่าหลายๆคนคงคุ้นเคยกันดีว่า ชีวิตนี้เกิดมาต้องมีปัญหามากมาย และเมื่อคนสองคนมาอยู่ร่วมกัน ปัญหามันไม่ลดลงหรอกค่ะ ปัญหามันอาจจะเพิ่มมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเลวร้าย หากเรามีเพื่อนร่วมทางที่ดี ช่วยกันคิดแก้ปัญหา และเป็นกำลังใจให้แก่กัน
ญเป็นคนหนึ่งเลยล่ะ ที่เมื่อก่อนวาดฝันว่ามีแฟนแล้วคงจะมีความสุข ได้แต่งงานแล้วคงจะมีความสุข แต่พอเจอความรักหลายๆครั้ง ก็เริ่มทำให้เข้าใจว่า ที่สุขน่ะมันสุขช่วงแรกตอนโปรโมชั่น แต่ของจริงน่ะ คือ การร่วมกันเรียนรู้ปัญหา เรียนรู้ทุกข์ แก้ไขความไม่ตรงกันต่างหาก (คงไม่ต้องเกริ่นยาวถึงชีวิตหลังแต่งงาน มันคงมีอะไรให้ทำอีกเยอะ....)
จากที่เคยหวังจะร่วมสุขกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าความสุขมันคืออะไร ในทางพุทธตามที่เรียนรู้ การพ้นทุกข์นั่นแหละคือความสุข และทำได้ทุกขณะ ไม่ต้องรอมีเวลาหยุดตรงกันแล้วได้ไปฮันนีมูนดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์รอบสอง รอครบรอบแต่งงานครั้งที่2แล้วได้ของขวัญ
สุขเล็กๆเกิดจากความรักและเจตนาที่จะสั่งสมความปรารถนาดีต่อกัน ด้วยการพูด กระทำ และคิดต่อกันในทางที่ดี ไม่เบียดเบียน
นี่แหละคือ ความสุขที่ยิ่งลงมือทำก็ยิ่งเหมือนต่อเติมความรู้สึกดีๆให้กันและกันได้เสมอ อธิบายอย่างนี้ฟังดูง่ายไป ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมค่ะว่า ในทางพุทธเนี่ย เราเชื่อว่าตัวกิเลสตัณหานี่เป็นตัวทำให้เราเกิดความทุกข์ และเมื่อเราทุกข์ เราคงไม่สามารถที่จะแสดงออกด้วยความสุข หรือส่งความสุขให้ใครได้ เมื่อเรารู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์แล้ว ไม่ไปทำตามมัน ผลที่เป็นทุกข์มันก็ไม่เกิด
ลองสังเกตใจตนเองดูค่ะว่า ตอนมีความอยากตั้งแต่อยากเล็กไปจนถึงอยากมาก มันมีความทุกข์ไหม ตอนต้องพยายามดิ้นรน เช่น ตอนอยากให้เขาเป็นอย่างใจ ดูแลเอาใจใส่ มาให้ตรงตามนัด จำวันพิเศษได้ มีเรามาเป็นที่หนึ่งนั้น ใจเรามีอาการดิ้นรน แล้วแสดงออกด้วยวาจาหรือการกระทำที่เป็นการเร่งรัด เร้าๆให้เขาทำตามหรือไม่ แล้วขั้นตอนนั้นมีใครมีความสุขบ้าง?
ข้อต่อมาลองสังเกตตนเองเวลาโกรธ หงุดหงิดนี่มันร้อนไหมคะ มีความสุขดีอยู่หรือเปล่า แล้วถ้าพูดหรือทำอะไรออกไปด้วยความโกรธเนี่ย มันเหมือนเราจุดไฟตัวเอง แล้วเอาไปโยนใส่คนอื่นให้ร้อนด้วยหรือเปล่า ตอนที่โกรธและร้อนเป็นไฟเนี่ย เรามีความสุขไหม แล้วเราทำให้คนที่เรา(บอกว่า)รักมีความสุขหรือเปล่า?
แล้วความทุกข์ของคนเราในแต่ละวันนี่ มันมีได้ยาวเป็นหางว่าว รถติดเอย ลูกค้าเรื่องมากเอย กับข้าวไม่อร่อยเอย บวกกับการเห็นว่าคู่ไม่ได้อย่างใจเป็นปัญหา เช่น โทรไปไม่รับ ไม่มีเวลา ลืมวันสำคัญ ไม่ช่วยทำงานบ้าน
สารพัดจะมีเรื่องให้อารมณ์เสียตราบเท่าที่เราเห็นว่ามันเป็นปัญหา
ปัญหาจุกจิกหยุมหยิมนี่แหละที่สร้างความทุกข์เล็กๆแต่บ่อย และถ้ารู้ไม่เท่าทันมัน ถึงจุดหนึ่งก็เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา
แต่หากเราฝึกมีสติรู้ตัวบ่อยๆ เห็นว่าปัญหาก็ส่วนปัญหา มีปัญหาก็แก้ไป แต่เราไม่จำเป็นต้องทุกข์ให้เปลืองแรง และทำให้บรรยากาศความสัมพันธ์อึมครึม หรือเรียนรู้ความทุกข์ไปบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาให้คนสองคนรู้จักแก้ปัญหา ให้ความสัมพันธ์ราบรื่นขึ้น ซึ่งจะได้ชื่อว่าครองรักและมีกันและกันเพื่อความเจริญ ไม่ใช่อยู่กันไปวันๆ หริอคอยวิ่งตามหาความสุขที่ไม่รู้อยู่ไหน
จนถึงที่สุดแล้ว เมื่อเราเรียนรู้ว่าชีวิตเกิดมามีแต่ทุกข์ ทุกข์ป่วยบ้าง ทุกข์ไม่สมหวังบ้าง ทุกข์ปัญหาการเงินบ้าง ทุกข์ในความไม่แน่นอนในชีวิตบ้าง และมีทุกข์ที่ต้องตายจากกันบ้าง พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงตรัสถึงพระนิพพานที่เป็นยอดสุดของความสุข ใครคิดว่านิพพานเป็นเมืองๆหนึ่ง หรือเรื่องไกลๆ ต้องบวชก่อนถึงจะได้ศึกษานี่เข้าใจผิดเลยนะคะเพราะธรรมะที่พระองค์ทรงสอนเนี่ยคือการสอนให้เข้าใจธรรมชาติ
เมื่อใจรู้จริงในธรรมชาติ ก็จะไม่มีทุกข์ใดๆอีก และนั่นแหละคือสุขที่เราควรปรารถนา และใจของเราก็อยู่กับเราตลอดเวลา สามารถเรียนรู้ได้เสมอไม่ว่าจะไปห้าง อยู่ที่ทำงาน อยู่บ้าน หรืออยู่ที่ไหน
หากเราหันมาใส่ใจเรียนรู้ใจกันสักนิด ก็จะได้ชื่อว่าไม่สูญเปล่าที่จะเอาเวลามาเรียนรู้ความจริง เพื่อความสุขของเราและคนรัก ด้วยตั้งใจแล้วว่าอยู่ร่วมกัน มีความทุกข์ใดๆเกิดขึ้นก็จะร่วมกันเรียนรู้ เพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า
มีเป้าหมายระยะไกล แต่ตั้งใจเดิน ณ ในขณะที่เดิน พ้นทุกข์แต่ละขณะ ก็มีสุขเล็กๆได้ทุกวัน :)
แนะนำหนังสืออ่านสำหรับความเข้าใจเรื่องความรักเพิ่มเติม
หนังสือรักแท้มีจริง โดย คุณดังตฤณ