คุยกันไม่เข้าใจเพราะอะไร
ถ้าเราไม่สามารถเปิดใจ ให้อีกฝ่ายเข้ามาในใจเราได้ หรือเราไม่สามารถเข้าไปในใจอีกฝ่ายได้ ใจสองคนจะค่อยๆห่างกันออกไปเรื่อยๆ
ถ้าเราพยายามบังคับให้อีกฝ่ายฟังเรา โดยที่เค้ายังไม่พร้อมหรือไม่เต็มใจ(ซึ่งก็คือยังไม่เปิดใจนั่นแหละ) ผลก็คือเค้าต้องหยุดพูด ต่อไปเค้าก็จะไม่พูด พูดน้อยลง จนไม่อยากพูดอีกเลย
เวลามีปัญหากัน ผู้ชายส่วนใหญ่จะคิดว่าผู้หญิงพูดไม่รู้เรื่องและใช้อารมณ์ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะบ่นว่าผู้ชายมีอะไรไม่พูด ซึ่งถ้าไม่พูดแล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ผลก็คือคุยกันไม่ได้ ไม่ได้คุยกัน
อันนี้ขอท้าวความถึงที่มาที่ไปนะคะ พูดกันถึงลักษณะทั่วไป
เวลาผู้ชายมีปัญหา เค้าจะโฟกัสปัญหาที่อยู่ตรงหน้า และใช้เหตุผลมาก่อน ที่จริงผู้ชายส่วนใหญ่ ไม่ค่อยเป็นฝ่ายเริ่มมีปัญหาก่อนด้วย เพราะถึงแม้เค้าจะเป็นเพศนักรบ ชอบเอาชนะ แต่เค้าก็ไม่เป็นฝ่ายพยายามเปลี่ยนใคร
ในขณะที่ผู้หญิงเวลามีปัญหา จะไม่สามารถโฟกัสสิ่งที่เป็นปัญหาขณะนั้น เพราะเธอเป็นเพศที่อ่อนไหว ใช้อารมณ์ เธอจะไหลไปตามอารมณ์ได้ง่าย และมีแนวโน้มที่จะขุดทุกเรื่องที่นึกออกมาเป็นข้อมูล และส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเริ่มเห็นปัญหา(ไม่ได้บอกว่าเธอเป็นคนสร้างปัญหานะคะ บางครั้งอาจจะไม่ใช่) ทั้งนี้จะด้วยยีนส์ ด้วยกรรม หรือด้วยโครโมโซมอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผู้หญิงส่วนใหญ่ มักจะอยากเปลี่ยนแปลงคนอื่น หรืออย่างน้อยก็อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจตนเอง (แม้ในบางครั้งจะรู้สึกว่า ตนเองเข้าใจยากมาก หรือแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจตนเอง) สังเกตเอาจากพ่อและแม่ก็ได้ค่ะ พ่อส่วนใหญ่จะเลี้ยงลูกแบบอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ปล่อยให้เป็นอิสระ ในขณะที่แม่ส่วนใหญ่จะเลี้ยงลูกแบบใกล้ชิดอย่างหวงๆ ไม่ค่อยยอมให้ออกไปเผชิญอะไร
ผลอันเกิดจากการที่ผู้ชายและผู้หญิงโฟกัสปัญหาไม่เหมือนกันนี้เอง ทำให้แก้ปัญหากันไม่ได้ ไม่จบ
เหมือนจะคุยเรื่องเดียวกัน พอโฟกัสไม่เหมือนกัน เหมือนเดินไปคนละทาง ปัญหาที่ต้องแก้ขยายวงกว้างขึ้น ผู้ชายก็รู้สึกว่าผู้ญพูดไม่รู้เรื่อง ผู้หญิงก็รู้สึกว่าผู้ชายไม่เข้าใจ ทำให้ปัญหาปัญหามักจะจบลงแบบ เหนื่อยละ พอแล้ว
ถ้าจบลงด้วยรูปแบบ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอม โดยไม่เข้าใจเหตุผล และมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ นานไปจะทำให้รู้สึกถึงช่องว่างที่คนทั้งสองคนไม่สามารถเข้าใจกันได้
ดังนั้นคำแนะนำสำหรับคุณผู้หญิงก็คือ “แก้ปัญหาให้จบไปทีละเรื่อง” ก่อน เพื่อจะได้ไม่พอกหางหมู
เช่น ทำไมวันนี้กลับบ้านดึก ถ้าเขาตอบว่าพอดีประชุมเรื่องซีเรียสจนดึก ไม่ใช่ต่อเรื่องไปว่า วันก่อนก็กลับดึก อาทิตย์ก่อนก็ด้วย รู้สึกว่าคุณไม่แคร์ฉันเลยจำได้ไหมเมื่อสามปีก่อนคุณพูดว่ายังไง....
โอเคล่ะ เมื่อวันก่อนเราก็น้อยใจ เมื่ออาทิตย์ก่อนเราก็น้อยใจ แต่ถ้าครั้งนี้เค้ามีเหตุผลแบบนี้ ผู้ชายก็จะเข้าใจว่าเค้ามีเหตุผล ทำไมต้องว่าเค้า ทางที่ดี เราควรสงบนิ่ง ครั้งนี้มีเหตุผลคือจบ ส่วนเรื่องว่าเขามีพฤติกรรมเช่นนี้บ่อยๆที่ทให้เราไม่สบายใจ ก็คุยกันอีกทีว่า อือ ถ้าจะกลับดึก เราไม่รู้ล่วงหน้า เราเป็นห่วงนะ ไม่อยากคิดมาก คิดไปเอง ยังไงช่วยบอกก่อนนิดนึงนะ คือไม่ใช่ในแนวต่อว่า แต่เป็นแนวบอกสิ่งที่เรารู้สึก ให้เค้าช่วยนำพิจารณาเค้าจะรู้สึกสบายใจกว่า (ให้เขามีทางเลือกบ้าง)
ไม่ใช่เริ่มด้วยปัญหาหนึ่ง แทนที่จะแก้ปัญหาหนึ่งจบ กลายเป็นต้องแก้ปัญหาสอง สาม สี่ ..... ด้วย
ถ้าทำได้ ตั้งแต่เริ่มต้น ให้เปิดใจรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูด และที่สำคัญอย่าใช้อารมณ์ ผู้ชายเป็นเพศที่ใช้เหตุผล สังเกตตัวเองย้อนหลังดีๆ (ที่บอกว่าย้อนหลัง เพราะตอนมีอารมณ์ คุณมักจะสังเกตตัวเองไม่ทัน) บางทีเราคิดว่าเรามีเหตุผล ก็ใช่นะ เรามีเหตุผล แต่มันเป็นเหตุผลเรื่องอื่น พอเอาเรื่องอื่นมาปน ทั้งที่มันไม่ใช่ปัญหาของครั้งนี้ มันก็กลายเป็นเอาเหตุผลมาสนับสนุนอารมณ์เราที่อยากจะเอาชนะ หรืออยากให้เขาเปลี่ยนมากกว่า
พอเราใช้อารมณ์ ไม่ว่าจะอารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้าสร้อยน่าสงสารอย่างนางเอก ใจผู้ชายที่ได้รับอารมณ์เค้าก็จะไหวตามอารมณ์ แต่เค้าจะไม่สามารถใช้เหตุผลตามได้ทัน
จำไว้ว่า มนุษย์จะใช้เหตุผลได้ดีตอนใจสงบ ไม่ใช่ตอนใช้อารมณ์ (อันนี้ไม่ว่าทั้งผู้ชาย ผู้หญิงนะคะ)
นอกจากมีปัญหาเมื่อไหร่ ให้โฟกัสที่เรื่องนั้นๆก่อนให้จบ เพื่อจะได้จบจริงๆไม่ต้อง Tomorrow never die ยืดเยื้อแล้ว ความพร้อมของใจ ของทั้งสองคน เน้นว่าทั้งสองคนนะคะ (แต่ก็ไม่ต้องไปพยายามเปลี่ยนใครนะคะ เริ่มที่ตัวเรานี่แหละ) ก็เป็นสิ่งสำคัญ
การอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเมตตา อยากให้อีกฝ่ายมีความสุข ตั้งใจจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อยากแก้ปัญหาและพัฒนาไปพร้อมๆกันของคนสองคนนั่นแหละที่สำคัญ
ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดถึงอีกฝ่าย เวลามีปัญหามันจะมีไว้แก้ มีไว้เรียนรู้เพื่อความก้าวหน้า มีไว้เติบโต ถ้าไม่ใช่ ต่างฝ่ายต่างคิดถึงตนเอง ปัญหาจะกลายเป็นเรื่องที่แสดงความแตกต่าง และกลายเป็นเรื่องที่ต้องทะเลาะ
การเจริญเมตตา ทำทาน ถือศีล จะมีส่วนช่วยให้เราลดความเห็นแก่ตัว ยึดมั่นถือมั่นน้อยลง ลดทิฏฐิมานะของตนเอง เพื่อเปิดใจรับอีกฝ่าย และพอเราเปิดใจ อีกฝ่ายรู้สึกเป็นอิสระ เค้าก็กล้าที่จะเปิดใจตาม
ยิ่งถ้าเราหัดรู้ทันอารมณ์ มีสติ (หัดภาวนา)ไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา(ซึ่งที่จริงมันคือการสร้างปัญหาเพิ่ม) เราก็จะแก้ปัญหาแต่ละเริ่องได้ไวขึ้น ไม่ยืดเยื้อ
ธรรมะสามารถเอาไปใช้กับชีวิตคู่ได้ ด้วยการสอดส่องตนเอง เห็นตนเอง พัฒนาตนเอง เข้าใจคนอื่น
สุดท้ายแล้วจะคุยกับใครรู้เรื่องไม่รู้เรื่อง คบกันด้วยสุขหรือทุกข์ พูดในองค์รวม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คนสองคนจะอยู่กันได้อย่างมีความสุข และคบหายืนยาวต่อไปได้ ก็ด้วยใจที่มีศรัทธา (มีความเชื่อว่าสิ่งใดดี สิ่งใดนำสุขมาให้) ศีล(ไม่เบียดเบียนกัน ไม่เบียดเบียนใคร) จาคะ(มีน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน) และปัญญา(รู้จักใช้เหตุผล คุยกันรู้เรื่อง ทันกัน) เสมอกัน
********
ความรักไม่ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากถ้อยคำ แต่มาจากความสบายใจที่สามารถคุยกันรู้เรื่องทุกคำ กล่าวได้เต็มปากว่าการพูดคุยกันคือกระดูกสันหลังของรักแท้ ต่อให้เป็นใบ้ทั้งคู่ก็ต้องสื่อสารพูดคุยกันผ่านภาษาเขียนหรือภาษามือ คู่ที่ไม่คุยกันคือคู่ที่เลิกกันแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็พึงระลึกไว้ด้วยนะครับว่า คู่ที่คุยกันด้วยความเข้าใจผิดเสมอ คือคู่ที่ไม่เคยคุยกันเลย ดังตฤณ