วิธีแก้ความฟุ้งซ่าน หดหู่
โดย คุณดังตฤณ
อุบายแก้ความฟุ้งซ่านที่ดีที่สุดในโลกเป็นของพระพุทธเจ้าครับ ท่านว่าให้เอาความสงบแห่งจิตมาเป็นฐานที่มั่น ความฟุ้งซ่านก็หมดที่ยืนไปเอง
สรุปคือละเลิกต้นเหตุของความฟุ้งซ่าน และสร้างเหตุของความสงบ ความฟุ้งก็จะไม่มารบกวนเราอีก
เหตุของความฟุ้งซ่านคือ...อะไร?
คือความเพ่งโทษผู้อื่น คือความตระหนี่ คือการผูกใจเจ็บไม่ยอมเลิก คือการไม่มีศีลเป็นกรอบความประพฤติ คือการเพลิดเพลินยินดีในความบันเทิงแบบไร้ขีดจำกัด คือการสุมหัวนินทาว่าร้าย
เหตุของความสงบคืออะไร?
คือการพินิจด้านดีของผู้อื่น คือความเต็มใจเผื่อแผ่ คือการหมั่นเล็งเห็นความรู้สึกดีของการอภัย คือการตั้งใจเอาศีลเป็นกรอบของการพูดการทำ คือการรู้จักบันยะบันยังในความบันเทิง คือการช่วยกันสรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญ
เมื่อละเหตุแห่งความฟุ้งซ่านและสร้างสมเหตุแห่งความสงบให้มากแล้ว จิตจะโน้มน้อมไปในทางกุศล เหมือนคนหมดคลื่นรบกวน ย่อมรู้สึกว่าการสวดมนต์เป็นของดี การลงนั่งสมาธิแผ่เมตตาเป็นความงาม การเจริญสติอยู่ทั้งวันเป็นเรื่องประเสริฐ
กล่าวโดยย่นย่อคือปรับสภาพอกุศลของจิตให้เป็นกุศลเสีย แล้วความสงบจะมาแทนความฟุ้งซ่าน เริ่มต้นจากความคิดว่ามันยากที่จะตัดใจจากเหตุแห่งความฟุ้ง และมันน่าขี้เกียจกับการสร้างเหตุแห่งความสงบ ถ้าเริ่มก้าวแรกตรงนี้ได้ก็จะมีก้าวที่สองสามสี่ต่อไปไหว
แต่ถ้าคิดจะใช้อุบายง่ายๆข้อเดียวแล้วช่วยให้ไม่ต้องฟุ้งซ่านตลอดชีวิต ก็จะติดอยู่กับอาการ "ฟุ้งหาทางสงบ" ทุกวันไปตลอดชีวิตเช่นกันครับ
ในเส้นทางการเจริญสติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อมีจิตฟุ้งซ่าน ให้รู้ว่ากำลังมีจิตฟุ้งซ่าน เมื่อมีจิตหดหู่ ให้รู้ว่ากำลังมีจิตหดหู่
แต่ในทางปฏิบัติ คือเมื่อชาวพุทธเอาคำสอนของท่านมาปฏิบัติตาม จะกลายเป็นว่าเมื่อมีจิตฟุ้งซ่าน ให้อยากหายฟุ้งซ่าน เมื่อมีจิตหดหู่ ให้อยากหายหดหู่ ตัวความอยากนั่นเองจะแปรรูปเป็นความท้อแท้ ความท้อแท้นั้นเองจะอาหารหล่อเลี้ยงความหดหู่ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนะครับ ทั้งชายทั้งหญิงนั่นแหละ เมื่อเกิดความเจ็บปวดทางใจ จะนับวันนับคืน เร่งอยากให้มันหายไป อาการอยากทั้งวันทั้งคืนนั่นแหละ คือตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดความห่อเหี่ยวหนักกว่าเดิม
คราวนี้เอาใหม่ น้องลองสังเกตว่าตอน "พยายามเท่าทันความหดหู่" นั้น มีความอยากแทรกปนอยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์ พี่ว่าเกือบๆร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นแหละ เหลือการรับรู้ความหดหู่จริงๆสิบเปอร์เซ็นต์หรือหนึ่งเปอร์เซ็นต์ มันถึงไม่ทันไง
เมื่อสังเกตเห็น และยอมรับตามจริงว่าเราอยากหายหดหู่มากกว่ารู้ความหดหู่ ก็จะเริ่มยอมรับว่าหดหู่ เมื่อยอมรับว่าหดหู่ นั่นก็เริ่มมีสติเห็นตามจริงแล้ว และพอมีสติเห็นตามจริงบ่อยเข้า จากหนึ่งเป็นสิบครั้ง จากสิบเป็นร้อยครั้ง ตัวความอยากก็ลดลงจนหายไป
ถึงตรงนั้นน้องจะพบความจริงอันเป็นสัจธรรม คือ เมื่อความอยากหายไป ต้นเหตุแห่งทุกข์ทางใจก็พลอยหมดไปด้วยครับ
++++++++++++
คนๆหนึ่งใช้ชีวิตตามความพอใจ เมื่อพอใจอะไร ก็ติดอยู่กับสิ่งนั้น
ถ้าอยากจะให้เลิกพอใจสิ่งหนึ่ง ก็ต้องหาความพอใจอีกสิ่งไปให้ (ซึ่งอาจเป็นของใหม่ที่พอใจเรา แต่ไม่พอใจเขา)
ขอให้คิดว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านยังเปลี่ยนความพอใจของทุกคนไม่ได้เลยครับ และท่านก็ไม่พยายามด้วย นอกจากมีเมตตากับกรุณาแล้ว ท่านก็มีอุเบกขาด้วยความเล็งเห็นว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่ใช่ตามความอยากของท่าน แล้วโลกก็อยู่มาได้เรื่อยๆถึงทุกวันนี้ตามทาง
ที่มา Facebook @dungtrin