เลือกคนที่ใช่: ความสามารถในการพูดคุยกัน

ruktaeโดย คุณดังตฤณ

ความรักไม่ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากถ้อยคำ แต่มาจากความสบายใจที่สามารถคุยกันรู้เรื่องทุกคำ 

กล่าวได้เต็มปากว่าการพูดคุยกันคือกระดูกสันหลังของรักแท้ ต่อให้เป็นใบ้ทั้งคู่ก็ต้องสื่อสารพูดคุยกันผ่านภาษาเขียนหรือภาษามือ คู่ที่ไม่คุยกันคือคู่ที่เลิกกันแล้ว 

แต่ขณะเดียวกันก็พึงระลึกไว้ด้วยนะครับว่า คู่ที่คุยกันด้วยความเข้าใจผิดเสมอ คือคู่ที่ไม่เคยคุยกันเลย 

การพูดคุยเป็นอะไรที่มากกว่าการแลกเปลี่ยนคำพูด แท้จริงเราต่างก็หาใครสักคนมาคุยเพื่อที่จะทำให้ตัวตนของเราปรากฏชัดขึ้น หรือดูมีตัวตนเป็นที่เข้าใจอย่างแท้จริง 

มาพิจารณาองค์ประกอบของการสนทนาประสาคนดูใจกันเป็นข้อๆนะ ครับ พอได้หลักสังเกตแล้วคุณจะทราบว่าการพูดคุยนี่แหละ คือเครื่องมืออันดับต้นๆในการเลือกคนที่ใช่


สรรพนาม

เคยสงสัยไหมว่าแต่ละคำที่เราใช้ๆกันอยู่นี้มาจากไหน ใครเป็นคนบัญญัติ?

เวลามนุษย์จะศึกษาอะไร ก็มักมองออกนอกตัว อย่างเช่นที่มาของภาษานั้น นักภาษาศาสตร์เชื่อว่าเราจะสืบได้ก็จากการ "ถอดรหัส" หลักฐานเท่าที่มีอยู่ เช่น ภาษาสัญลักษณ์บนผนังถ้ำ เป็นต้น

และโดยการพยายามถอดรหัสจากหลักฐานภายนอกนี่เอง ทำให้นักภาษาศาสตร์จำต้องยอมรับแบบเห็นพ้องต้องกันโดยดุษณีว่า ‘ภาษาดั้งเดิมแรกสุด’ ของมนุษยชาติโดยรวมนั้นไม่มี แถมภาษาพูดนี่ไม่มีร่องรอยที่มาที่ไปเอาเลย ขนาดพูดกันเป็นตุเป็นตะ บัญญัติกติกาการใช้ภาษาเป็นหลักไวยากรณ์อย่างดิบดี แต่กลับหาต้นกำเนิดที่มาแรกสุดไม่เจอ ราวกับอยู่ๆมนุษย์ก็พูดขึ้นมาได้เองอย่างนั้นแหละ

แท้จริงแล้ว มันจะง่ายขึ้นถ้าเรามองย้อนกลับมาที่จิต คุณจะพบต้นเค้าของภาษาตั้งแต่จำความได้นั่นแหละครับก่อนมีภาษาพูด มนุษย์ทั้งหลายมีภาษาคิดเป็นอันดับแรก และความรู้สึกในตัวตนนั่นแหละ คือรากของภาษาคิด 

หลักฐานเกี่ยวกับคลื่นสมองยืนยันว่าเด็กทารกคิดได้ตั้งแต่วันแรก แล้วทายซิว่าเด็กทารกแรกเกิดคิดถึงอะไร? ก็คิดถึงตัวเองยังไงล่ะ!

‘ตัวกู’ และ ‘ของกู’ นั่นแหละ คือต้นตอของภาษา คนเราอยากเรียกร้องความสนใจให้ตัวเองเป็นอันดับแรกเสมอ ลองเงี่ยหูฟังดีๆนะครับ ตอนเด็กแผดเสียงร้องไห้จ้าจะเอาอะไร ในเสียงร้องนั้นมี ‘กู’ ดิบๆแฝงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ถ้าเด็กพูดได้คงประมาณว่า ‘กูจะเอา!’ นั่นแหละ แต่เมื่อพูดไม่ได้ ก็ต้องใช้เสียงที่ตะเบ็งออกมาสุดหลอดแทน

สรุปแล้วต้นกำเนิดภาษาก็มาจากความรู้สึกในตัวเรานี่เอง ภาษามีขึ้นเพื่อสื่อความรู้สึกของตัวเอง ทำให้ตัวเองปรากฏและมีความหมายขึ้นมาในโลก ภาษาจิตหรือภาษาทางความ คิด จึงมาก่อนภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาจิตมาจากโครงสร้างของกรรมเก่า กรรมเก่าจะเป็นตัวจำแนกว่าใครควรไปอยู่เผ่าพันธุ์ไหน ลักษณะการพูดจาเป็นอย่างไร 

สังเกตง่ายๆในขั้นพื้นฐานที่สุดนะครับ แต่ละเผ่าพันธุ์มีความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเองต่างกัน หลายภาษามีสรรพนามแทนตัวเองเพียงหนึ่งคำ เช่น ในภาษาอังกฤษเราจะแทนตัวเองว่า ‘ไอ’ ไม่มีการแยกเพศ ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใดๆ จะกี่ปีกี่ยุคผ่านไปก็มีแต่บอกว่า ‘ไอ’ นี่แหละฉันล่ะ

แต่ก็มีบางภาษาเช่นภาษาไทย ที่มีสรรพนามแทนตัวเองมากมาย เช่น คำว่า ‘กระผม’ และ ‘ดิฉัน’ เอาไว้บ่งเพศ คำว่า ‘ข้าพเจ้า’ เอาไว้บ่งความเป็นทางการและเป็นกลางทางเพศ คำว่า ‘หนู’ เอาไว้แสดงความนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ คำว่า ‘กู’ เอาไว้บ่งอารมณ์ดิบหรือสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดสนิทสนม

คนไทยจึงเป็นพวกที่รู้สึกถึงฐานะของตนผ่านสรรพนามหลาก หลาย บางทีถ้าจะเลื่อนระดับความสนิทสนมก็อาศัยสรรพนามนี่แหละเป็นตัวบอก เช่น อาทิตย์ก่อนแทนตัวเองว่า ‘ผม’ วันนี้สนิทขึ้นเลยแทนตัวเองว่า ‘กู’ เป็นต้น

แถมนะครับ สรรพนามแทนตนยังดิ้นได้ เพิ่มเติมได้ตามยุคสมัย เช่น คำว่า ‘เค้า’ นี่ไม่ทราบเริ่มตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นคนนำ แต่ก็ใช้กันเป็นปกติ คนไทยจึงมีโอกาสแสดงออกถึงความเป็นตัวตนได้พิสดารมาก ช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ ยังมีการแบ่งเพศอย่างชัดเจนผ่านคำเป็นทางการ เช่น ‘ผม’ หรือ ‘ดิฉัน’ แต่ยุคปัจจุบันวัยรุ่นจะใช้คำเป็นกลางๆไม่แยกเพศ เช่น ‘เรา’ ซึ่งอาจสะท้อนถึงความเสมอภาคทางเพศที่มากขึ้น

สรรพนามที่แสดงความเคารพอาวุโส นับพี่นับน้องเป็นสิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นก็ทำให้เกิดความประดักประเดิดได้หากฝ่ายชายต้องเรียกหญิงคนรักว่า ‘พี่’ ในขณะที่ฝรั่งไม่ค่อยแคร์เพราะอย่างไรก็เรียก ‘ยู’ เหมือนกันหมด

สรรพนามนับพี่นับน้อง ยังส่อได้ด้วยว่าอยากนับถือกันแค่ไหน วันใดหญิงเรียกชายว่า ‘พี่’ หมายถึงยังนับถือกันอยู่ แต่วันไหนถ้าเรียก ‘คุณ’ หรือ ‘มึง’ ขึ้นมา นั่นอาจแปลว่ามีเรื่องกันแล้ว

ความพอใจในตัวตนของคนไทยเมื่อคุยกับคนรัก จึงอาจเริ่มต้นจากสรรพนามนี่เอง ผู้ชายที่ต้องการเป็นใหญ่กว่าผู้หญิง ชอบเป็นหัวหน้าครอบครัว จะอยากให้คนรักเรียกตนว่า ‘พี่’ ส่วนผู้ชายที่ชอบหารสองเรื่องค่าใช้จ่าย อาจอยากได้คนรักที่เรียกตนว่า ‘เธอ’ หรือ ‘นาย’ หรือตามสมัยนิยมของวัยรุ่นอาจเป็น ‘มึง’ ไปเลย และถ้ายิ่งเป็นผู้ชายที่มีความสุขกับการให้ผู้หญิงเลี้ยงดูปูเสื่อ ก็อาจอยากได้คนรักที่เรียกตนว่า ‘น้อง’ จึงจะสมใจ

ผู้หญิงส่วนใหญ่จะรู้สึกดีกับผู้ชายที่ทำให้เธอเรียกตัว เองว่าหนูอย่างสนิทใจ น้อยคนจะอยากได้แฟนที่ทำให้เธอจำต้องเรียกตนเองว่า ‘พี่’ แต่หากจำเป็นจริงๆผู้หญิงก็มักมีทางออกเสมอ พวกเธอสามารถเรียกชื่อเล่นของตัวเองเพื่อให้ดูเด็กลงได้อย่างสะดวกปากอยู่แล้ว

เมื่อเข้าใจว่าสรรพนามมีส่วนเกี่ยวข้องกับความรู้สึกในตัวตน คุณจะเข้าใจและสังเกตตัวเองมากขึ้น คนที่ใช่สำหรับคุณ คือคนที่ทำให้คุณเรียกตนเองด้วยความพอใจ เพราะการเรียกตนเองด้วยความพอใจ จะทำให้คุยกับคนรักได้โดยไม่รู้สึกสะดุด

แล้วสังเกตด้วยว่าถ้าเขาหรือเธอเรียกเปล่งเสียงขานชื่อ คุณ แล้วคุณรู้สึกว่าชื่อของตัวเองมีค่า มีความหมาย คนๆนั้นก็แทบเข้ามายึดที่นั่งในหัวใจคุณเกินครึ่งแล้ว!

 

สไตล์การคุย

ถ้าให้อธิบายว่าทำไมคุณถึงคุยกับบางคนแล้วสบายใจ คุณอาจงงๆและจับต้นชนปลายไม่ถูก บอกได้แต่ว่าสบายใจก็แล้วกัน

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทราบความรู้สึกของตัวเอง แต่มักอธิบายที่มาที่ไปไม่ถูก และนั่นก็เป็นเหตุให้เกิดความสับสน บางครั้งก็ทรมานใจ เฝ้าถามตัวเองว่าทำไมจึงสบายใจกับคนที่ไม่ควรจะสบายใจ แต่คนที่ควรสบายใจด้วยกลับไม่สบายใจเสียนี่

มนุษย์ต้องการคุยกับใครสักคนที่กระตุ้นให้รู้สึกถึงความ เป็นตัวเองอย่างแจ่มชัด คือถ้าคุยแล้วเป็นตัวของตัวเองก็จะชอบ แต่ถ้าคุยแล้วไม่เป็นตัวของตัวเองหรือทำให้ตัวเองบิดเบี้ยวไป ก็จะเอือมระอาและอยากหลีกเลี่ยง 

ยุคนี้ผู้คนสามารถพูดคุยผ่านอินเตอร์เน็ตได้ และการพูดคุยผ่านอินเตอร์เน็ตก็สาธิตให้เราดูว่าถ้าจะคุยให้สบายใจ กับทั้งเป็นตัวของตัวเองอย่างน่าติดใจต้องแบบนี้

แบบนี้คือแบบไหน? มาชำแหละกันให้กระจ่างครับว่า ‘การพูดคุยเพื่อความสบายใจ’ เป็นอย่างไร หากจับจุดถูก คุณก็สามารถนำมาพิจารณาคนที่อยู่ตรงหน้า ว่าใช่คนที่จะคุยด้วยอย่างสบายใจไปนานๆไหม

๑) การไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมาก่อน ทำให้คุณคุยกับเพื่อนทางเน็ตได้โดยไม่มีหัวโขน มีแต่คำพูดที่บอกว่าคุณกับคู่สนทนาเป็นใคร ให้ความสำราญหรือแง่คิดได้ถึงใจปานไหน ไม่ต้องสนใจรายละเอียดมากกว่านั้น

การคุยแบบไม่ต้องมีความผูกพัน ทำให้คุณรู้สึกว่าต้องระวังตัวน้อยลงและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น ความสบายใจกับการเปิดอกแสดงความเห็นได้อย่างหมดเปลือกนี่แหละ คนเราชอบนัก ยิ่งถ้าได้คู่สนทนาคอเดียวกัน จะยิ่งมันเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นคือโอกาสให้แสดงตัวตนอย่างหมดเปลือก

การเปิดเผยความรู้สึกนึกคิด ก็คือการกระตุ้นให้ตัวตนปรากฏแจ่มชัดนั่นเอง ต่อให้เป็นพวกไม่ชอบปรากฏตัวต่อสังคม ก็ต้องชอบคิดมากอยู่ดี เพราะ การคิดมากคือการคุยกับใจตัวเอง ทำให้ตัวตนยังคงอยู่ แม้ไม่มีใครเห็นก็ไม่หายไปไหน เมื่อสามารถคุยกับคนถูกคอได้คล้ายคุยกับความคิดของตัวเอง ก็ย่อมดีกว่าคิดมากอยู่คนเดียวแน่นอน

ในโลกความเป็นจริง บางคนหาเพื่อนคุยถูกคอได้ง่าย แต่บางคนก็พบยากครับ ซึ่งพวกหลังนี้ก็มักจะไปจับคู่คุยกันในเน็ตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เพียงแค่ค้นหาว่ามีกระดานสนทนาใดเข้ากับอัธยาศัยของตน อย่างไรต้องเจอคอเดียวกันแน่ๆ ไม่มีทางไม่เจอ และเช่นกัน ถ้าคุณ คิดว่าคุยกับคนรอบตัวแล้วไม่ใช่ ก็น่าทดลองเอาตัวเองเข้าไปขลุกกับกระดานสนทนาที่ถูกจริตหลายๆเดือนหลายๆปี จนแน่ใจว่ารู้จักกันจริงไม่ใช่หลอกกันด้วยอารมณ์เหงา ก็คงมีใครสักคนที่ยังโสดและเข้าขากับคุณได้บ้างล่ะ

 

๒) การไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน ทำให้คุณมีทางเดียวคือจินตนาการเอา และจินตนาการจะมาจากไหนถ้าไม่ใช่วิธีการพูดของคู่สนทนา คำพูดจะเป็นตัวสร้างจินตนาการว่าเขาหล่อหรือเธอสวยเพียงใด

การที่คุณเริ่มรู้จักใครสักคนแบบไม่รู้หน้า แต่รู้ความคิดของเขา มันทำให้คุณข้ามขั้นการตัดสินคนอย่างผิวเผินด้วยตาเปล่า ตัดตรงเข้าไปถึงเนื้อแท้ทางจิตใจของคู่สนทนาโดยตรง คุณจะเข้าใจหลักกรรมวิบากประการหนึ่ง คือถ้าพูดดี พูดฉลาด พูดคม พูดให้คนฟังเป็นสุข ผลจะเป็นใบหน้าโสภาน่าพิสมัย นั่นหมายความว่าถ้าเขาทำให้คุณติดใจในคำพูดได้ก่อนใบหน้า เวลาคุณนึกถึงเขา ก็จะนึกถึงใบหน้าในจินตนาการมากกว่าใบหน้าในความเป็นจริง

รู้อย่างนี้แล้ว คุณก็ควรให้โอกาสกับคนที่อยู่ตรงหน้า อย่าเพิ่งตัดสินเขาด้วยรูปร่างหน้าตา แต่รอฟังซิว่าคำพูดของเขาจะทำให้คุณเกิดจินตนาการดีๆเกินใบหน้าเจ้าตัวมาก น้อยแค่ไหน คนที่พูดได้อัปลักษณ์กว่าใบหน้า นานไปจะทำให้คุณนึกถึงใบหน้าอัปลักษณ์กว่าตัวจริง ส่วนคนที่พูดได้สง่างาม นานไปจะทำให้คุณนึกถึงใบหน้าที่สง่างามเกินใคร

 

๓) การขยับนิ้วพิมพ์ต้องอาศัยการทำงานของสมองมากกว่าตอนขยับปาก ฉะนั้นการคุยผ่านตัวอักษรจึงวกวนน้อย ส่วนปากคนเราเคยชินกับการขยับหมับๆตามอารมณ์ ฉะนั้นการคุยผ่านปากจึงวกวนได้มาก พูดไปแล้วก็วกกลับมาพูดซ้ำอีก โดยไม่ทันคิดว่าน่าเบื่อแค่ไหน 

เวลาคุณคุยปากเปล่ากับคนน่าเบื่อ บางทีไม่ใช่คำพูดของเขาหรอกครับ แต่เป็นความคิดวกไปวนมาในหัวของเขาต่างหาก แค่คุณเข้าไปนั่งใกล้คนประเภทนี้ ก็เหมือนเอาตัวไปอยู่กลางพายุความฟุ้งซ่าน สับสน หรือเหม่อลอยไร้จุดหมาย จนอยากออกมาห่างๆแล้ว

ถ้าคุณเลือกคนฟุ้งซ่านจัดหรือเหม่อลอยเก่งเป็นคู่ครอง สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคุณในระยะยาวคืออาการปั่นป่วนวกวน จับต้นชนปลายไม่ติดตามคู่ครองไปด้วย ฉะนั้น หลีกให้ห่างคนฟุ้งซ่านจัดและเหม่อลอยเก่ง เลือกคุยกับคนที่พูดจาเป็นเส้นตรงหาเป้าหมาย ไม่วกวนกลับมาเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วคุณจะรู้สึกว่าแค่ด้วยการพูดคุย ก็ทำให้คุณภาพสติดีขึ้นได้ง่ายๆเลย

 

๔) การคุยกับคนแปลกหน้าในเน็ตทำให้คุณเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ ว่าคู่สนทนาไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือเออออห่อหมกกับคุณไปทุกเรื่อง บางทีจะพร้อมกับการโต้ตอบอภิปราย หรือกระทั่งถกเถียงกันอย่างมีเหตุผล คือไม่ใช่ขัดแย้งกันด้วยอารมณ์แบบอยู่ดีไม่ว่าดี เอาเวลาไปทะเลาะกับคนแปลกหน้าเสียอย่างนั้น

ความจริงคนเราไม่ว่าการศึกษาระดับไหน จะชอบนะครับถ้าเจอคนที่พูดให้ยอมฟัง หรือกระทั่งเปลี่ยนใจเราได้ พวกผู้บริหารระดับโลกจะยอมเสียเวลาคุยกับคนแปลกหน้าที่ทำให้เกิดไอเดียใหม่ หรือเปลี่ยนใจพวกเขาได้เท่านั้น เพราะเปล่าประโยชน์กับการคุยที่ทำให้ไอเดียเท่าเดิม หรือความรู้ความคิดย่ำอยู่กับที่ ไม่ช่วยให้ธุรกิจก้าวหน้าไปไหน

คุณควรเลือกคนที่คุณฟังคำโต้แย้งของเขาได้ และขณะเดียวกันเขาก็ไม่ถือสาหาความกับคำพูดเล็กๆน้อยๆของคุณ เพราะถ้าขืนสื่อสารกันคลาดเคลื่อนบ่อยๆ ก็อาจต้องผิดใจหรือฆ่ากันตายเพราะคำพูดนี่แหละ

 

น้ำเสียง

ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ ๑๙ เป็นต้นมา มนุษย์มี ‘อุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณจิต’ ชั้นดีไว้ใช้กัน แล้วคุณก็ใช้มันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อุปกรณ์นั้นก็คือโทรศัพท์นี่เอง! โทรศัพท์นั่นแหละครับอุปกรณ์ถ่ายทอดสัญญาณจิตได้ชัดกว่าอะไรเพราะ มันส่งเสียงของผู้พูดที่ปลายสายมาเข้าหูคุณเพียวๆ ไม่ได้ส่งใบหน้ามาด้วย นั่นบังคับให้คุณต้องใช้เพียงประสาทหู ไม่ถูกประสาทตามาแย่งการรับรู้ไปเหมือนตอนคุยอยู่ต่อหน้า 

ถ้าเพียงคุณเป็นคนช่างสังเกต ก็จะทราบเองว่าเสียงจากโทรศัพท์นั้น ส่งออกมาจากอารมณ์หรือสภาวะทางใจของผู้พูดที่ปลายสายตรงๆ ไม่ว่ากำลังลงหรือกำลังขึ้น แม้ขณะเขาไม่ได้เปล่งเสียงพูด ก็มีความรู้สึกขึ้นๆลงๆที่เปล่งออกมาให้คุณสำเหนียกได้ด้วยหู

การฝึกฟัง ‘สัญญาณที่ส่งมาจากจิต’ นั้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยครับ ถ้าไม่สังเกตคุณก็จะนึกว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่อาจสัมผัสรู้ แต่ขอให้ลองเถอะ ครั้งสองครั้งจะทราบเองว่าไม่ต้องมีอิทธิฤทธิ์ ไม่ต้องมีอภิญญา คลื่นโทรศัพท์ก็ช่วยพาสัญญาณทางจิตมาให้สัมผัสได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความ พยายามใดๆแล้ว

เริ่มต้นฝึกก็ให้คุยไปตามปกติเท่าที่เคยคุยมานั่นแหละ แค่อย่าเอาแต่คิดจะพูด หรือหวังว่าจะให้เขาตอบอย่างใจคุณ ให้ฟังเสียงเขาด้วยความตั้งใจจะรู้เรื่องตลอด แล้วสังเกตว่าเมื่อสิ้นเสียงของเขาแต่ละครั้ง คุณรู้สึกว่าเขากำลังสบายหรืออึดอัด

ความสบายและความอึดอัดเป็นคลื่นทางจิตชนิดหนึ่ง คุณสัมผัสได้มาตั้งแต่เกิด แต่คุณถูกหลอกให้เชื่อเฉพาะสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น ท่าที สีหน้า และประกายตา หากไม่เห็นตัว คุณก็นึกว่าคงไม่มีทางรู้ได้ว่าใครกำลังรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์แค่ไหน

ความสุขที่มากับคลื่นจิต จะมีลักษณะให้สัมผัสได้ คือ เบิกบาน เปิดกว้าง สว่างใส ส่วนความทุกข์ที่มากับคลื่นจิต จะมีลักษณะให้สัมผัสได้ คือ หดหู่ ปิดแคบ มืดหม่น 

เมื่อสังเกตและเก็บเกี่ยวลักษณะทางนามธรรมต่างๆไว้ทีละครั้งทีละหน ในที่สุดคุณจะพบว่าสภาพอารมณ์ของคนมีอยู่มากมายก่ายกอง แต่ก็จำแนกได้หลักๆแค่สองอย่างคือเป็นสุขหรือเป็นทุกข์เท่านี้เอง

คนที่กำลังตื่นเต้นปีติกับความรัก ในอกในใจอาจเหมือนมีน้ำพุแห่งความหรรษาพวยพุ่ง หรือเหมือนมีทะเลแห่งความปรีดาเอ่อล้น หากสัมผัสความสุขของคนที่อยู่ปลายสายได้ คุณก็จะเปรียบเทียบได้ด้วยว่าความสุขของฝ่ายใดมากหรือน้อยกว่ากัน

แต่อารมณ์ปกติของคนเราทั่วไปนั้น ไม่ค่อยจะได้เป็นสุขกันสักเท่าไหร่หรอกครับ เป็นทุกข์เสียมากกว่า ฉะนั้น ในสนามฝึกจริงคุณน่าจะได้เห็นทุกข์มากกว่าสุข ซึ่งก็สนุกอยู่ดีถ้าเห็นจริงๆ เริ่มจากอะไรง่ายๆก่อน เช่น พอเขานึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ จังหวะที่เสียงชะงักค้างไป คุณจะสัมผัสได้ถึงอาการสะดุด หรืออาการอึ้ง ตรงนั้นคือตัวอย่างของความรู้สึกอึดอัด กดดัน หรือพยายามเค้น

เมื่อคุ้นกับสภาพของคลื่นจิตง่ายๆทำนองนั้น ให้ฝึกดูต่อไป อย่างเช่นตอนคนเราโกรธหรือหงุดหงิด จะคล้ายน้ำเดือดปุด โกรธมากเดือดแรง โกรธน้อยเดือดอ่อนๆ แต่ถ้าเป็นความเคียดแค้นอาฆาตนี่ คุณจะสัมผัสไปอีกอย่าง คือเหมือนคลื่นความกดดันขนาดใหญ่ มืดครึ้ม ทะมึน น่ากลัว เป็นต้น

คุณอาจพบว่าช่วงกำลังพูดนั้นคนเราอาจตั้งใจดัดเสียงหลอก ได้ แต่พอหยุดพูด ทุกอย่างจะกลับเป็นปกติตามสภาวะของใจจริงๆ เช่น ถ้าเขาหรือเธออึดอัดไม่อยากพูดด้วย แต่ต้องการรักษาน้ำใจคุณ ก็อาจพยายามทำเสียงปกติ ซึ่งก็จะมีผลให้จิตเป็นปกติไปด้วย ต่อเมื่อหยุดพูด คุณจะสัมผัสได้ถึงความอัดอั้น กดดัน ขุ่นมัว หรือกระทั่งกระแสความคิดกระวนกระวายไม่สบอารมณ์ อยากวางสายเต็มแก่

การฝึกฟังเสียงจนเห็นเข้าไปถึงจิตจะมีความหมายมาก คุณจะได้ผลรวม เห็นออกมาเป็นภาพใหญ่ภาพหนึ่ง ว่าคุยกับเขาหรือเธอแล้วหนักไปทางสุขหรือทางทุกข์ มืดหรือสว่าง กระจ่างเปิดเผยหรือคลุมเครือหมกเม็ด และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด น้ำ เสียงของคนที่ใช่ไม่จำเป็นต้องออกประกายกังวานแบบดีใจล้นเหลือที่ได้คุยกัน แต่อย่างน้อยต้องสะท้อนถึงความเต็มใจพูดกับคุณ ทำให้ตัวตนของคุณเท่าเดิมหรือฟูขึ้น ไม่ใช่แฟบลงทุกทีๆ

นอกจากคุณจะรู้ว่าคนๆนี้เป็นคู่สนทนากับคุณได้หรือไม่ ยังอาจชัดเจนลึกซึ้งไปถึงขั้นที่ตอบตัวเองถูกเลยทีเดียวครับ ว่าคนนี้ใช่หรือไม่ใช่สำหรับคุณ!


สายตา

สายตาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสาร แต่มักถูกละเลยเป็นประจำ หญิงชายหลายคู่คบกันแทบไม่สบตากัน ซึ่งนานไปจะเหมือนกับเอาก้อนหินสองก้อนมาตั้งอยู่ใกล้กัน หาความรู้สึกในกันและกันแทบไม่เจอ

การสบตาแทบจะเป็นศาสตร์ได้ศาสตร์หนึ่ง มีอะไรในนั้นมากกว่าการเอานัยน์ตาสองคู่มาเล็งแลกัน ขณะพูดคุยนั้น คนที่พร้อมสื่อสารกับคุณ คือคนที่ยินดีสบตากับคุณ ไม่ใช่คนที่หลบตา

คนเราถ้ายินดีสื่อสารกัน จะประสานตากันได้อย่างสนิทใจ การสบตาคุยกันในระยะยาว จะทำให้คุณทราบได้ว่ารู้สึกดีกับเขาหรือเธอแค่ไหน ส่วนลึกของหัวใจเข้ากันได้เพียงใด

คู่ที่ใช่นั้น อย่างน้อยควรมองกันและกันได้เต็มตา โดยไม่รู้สึกขัดแย้งหรือมีกระแสความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แม้ในช่วงแรกที่เพิ่งรู้จักกัน ก็ควรมีชั่วขณะหนึ่งที่มองกันเต็มตาแล้วเกิดความรู้สึกคุ้นเคย ไม่เป็นอื่น นั่นเพราะอำนาจบุญเก่าที่ทำร่วมกันด้วยดี หรือภาวะคู่อันปรองดองในอดีต น่าจะช่วยตกแต่งกระแสตาให้ประสานกันสนิท เป็นมิตร และปราศจากความรู้สึกสะดุด

แต่ถ้าคนเราไม่ยินดีสื่อสารกัน การสบตาก็เป็นตัวบอกได้ระดับหนึ่ง สบกันทีไรมีจุดสะดุด อยากหลบตากัน หรือบางคู่ที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ปางก่อน แค่สบตาก็ไม่สบอารมณ์ได้ หรือกระทั่งอยากหาเรื่องกันแบบอันธพาลไร้เหตุผลได้

ถ้าผู้ชายสู้ตาผู้หญิงไม่ได้ เหมือนแพ้อำนาจสายตากันอยู่ ทั้งที่เธอก็ไม่ตั้งท่าขู่แต่อย่างใด ก็ขอให้เร่งตระหนักว่าโอกาสที่จะทำให้เธอเชื่อถือในเวลาต่อมานั้น ก็คงยากครับ

ส่วนผู้ชายที่ทำตัวน่าเกรงขาม ชอบส่งสายตาสะกดให้ใครต่อใครอยู่ใต้อำนาจนั้น ถ้าเจอคนที่ใช่จริงๆและเคยทำบุญมาก่อน อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมาก่อน ก็จะเชื่องลง ไม่มีรังสีข่มขู่หรือผลักดันเหมือนตอนสบตากับคนอื่น

ผู้หญิงที่ไม่ชอบสบตากับผู้ชาย อาจเป็นเพราะขี้อาย หรืออาจเป็นเพราะมีปมปัญหาทางเพศอันเป็นแผลทางใจ ถ้าคุณทำให้เธอสบตาด้วยไม่ได้ก็แปลว่ายังพูดหรือแสดงพฤติกรรมให้เธอไว้ใจไม่ ได้ แล้วก็อย่าเพิ่งทึกทักนะครับว่าถ้าผู้หญิงกลัวตาผู้ชาย หมายความว่าจะไม่แผลงฤทธิ์ในภายหลัง ผู้หญิงที่ขี้กลัวบางคน บทจะเลือดขึ้นหน้าก็แปลงร่างจากแมวขี้อ้อนเป็นนางเสือดาวเอาได้ดื้อๆ

ส่วนผู้หญิงที่ชอบทำตาดุ บางทีอาจไม่ดุจริง เธอแค่จะดูว่าคุณเอาเธออยู่ไหม ส่วนลึกของผู้หญิงที่ชอบทำตาดุจะโหยหาใครบางคนที่มานำเธอได้ และเธอก็ใช้วิธีส่งกระแสตาขู่ฟ่อเป็นเครื่องมือค้นหา หากคุณพิศวาสเธอจริงๆ ก็ต้องเตรียมตัวไว้ด้วยว่าจะหลุดความเป็นแมนไม่ได้ อ่อนแอให้เธอเห็นไม่ได้ หรืออาจจะกระทั่งเก่งน้อยกว่าเธอก็ไม่ได้ด้วย

ถ้าหากทั้งชายและหญิงมีกำลังสายตาเสมอกัน ก็อาจสบตาแบบลองกำลังกัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแค่หนสองหนแล้วเลิกราก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาได้ แต่หากสบกันแบบ ‘ประสานงา’ ทุกครั้งไม่เลิก ก็อาจเป็นลางบอกเหตุได้ว่าอยู่กันไปจะไม่มีใครยอมใคร ตลอดจนมีสิทธิ์ขยับขึ้นเป็นการทุ่มเถียงเอาแพ้เอาชนะ หรือเอาเป็นเอาตายทีเดียว

สรุปแล้วความสามารถในการคุย หรือแลกเปลี่ยนสื่อสารกันนั้น บอกอะไรได้มากกว่าที่หลายคนคิด ขอเพียงคุณช่างสังเกต จะยกเรื่องใดมาเป็นประเด็นสนทนา หรือจะคุยเก่งแค่ไหนไม่สำคัญ คุยไปเถอะ คุยมากๆจนกว่าจะรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายจริงๆ ก็จะใช้เป็นเครื่องมือชี้ว่าใช่หรือไม่ใช่คนของคุณได้ครับ

ที่มา หนังสือรักแท้มีจริง

บท เลือกคนที่ใช่

http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=63:true-love-are-exist&Itemid=278


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.