เสน่ห์ของความรัก
ความนิ่ง ความเย็น ก่อให้เกิดความสุข และใจจะอยู่กับสิ่งนี้ได้นาน
อยากมีความรักที่อยู่อย่างมีความสุขนานๆ ต้องรู้จักทำใจตัวเองให้นิ่งและเย็น มารู้จักความงาม และการสร้างเสน่ห์กันค่ะ:)
อยากมีึความรักที่สงบสุขแต่ใจเรายังวุ่นวายจะมีความรักเช่นนั้นได้อย่างไร?
โดย คุณดังตฤณ
“นิยาม ของความงามมันต้องชี้มาที่ใจ ต้องเป็นสิ่งที่รู้สึกว่ามันดี รู้สึกว่ามันทำให้สบาย
ความสวยบางทีมันปนมากับความฉูดฉาด อะไรที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจ
แต่คำว่างามมักจะมากับความรู้สึกเย็น มักจะมากับความรู้สึกสบายใจ
เพราะสวยบางทีมันไม่ได้สบายใจนะ มันเร่า ร้อนอยู่ภายในก็มี แต่งามมันจะรู้สึกเย็นตา เย็นใจ รู้สึกว่า ไม่มีอะไรที่เป็นหนาม อย่างกุหลาบมันสวย แต่ไม่งาม มันตื่นตาตื่นใจ แต่จับเมื่อไรถ้าไม่ระวัง ไม่มีบทเรียนไว้ก่อนมันจะรู้สึกเจ็บปวด
ธรรมะ ทำให้จิตใจสบาย ไม่เร่าร้อน ไม่เป็นทุกข์ ทำให้จิตใจสว่างไม่ใช่มืด ทำให้สงบ ไม่ใช่กระวนกระวาย ไม่ใช่ดิ้น จิตของคนปกติมันจะมีความดิ้นอยู่ตลอด ดิ้นอยากได้ อยากจะเอา
แต่ความงาม ของธรรมะมันจะทำให้รู้สึกพอที่ใจ นี่แหละเรียกว่าธรรมะ
ทำไมธรรมะถึงงาม ก็ชี้ได้เลยที่ความพอใจ ความสบายใจนี่แหละ
ถ้าเราตั้งศรัทธาไว้ที่พระ พุทธเจ้าได้ แล้วเอาวิธีคิดของพระองค์มาเป็นวิธีคิดของเราได้
มันก็จะมี คำตอบสั้นๆให้กับชีวิต ก็คือคิดอะไรที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่น
คิดอะไรที่ทำ ให้รู้สึกใจสว่าง มีความรู้สึกเบิกบาน
อันนั้นแหละคือความรู้สึกที่ถูกต้อง
ความคิดที่มันออกจากความทุกข์และคล้อยไปในทางความสุขได้
สำรวจ ตัวเองว่าความคิดแบบไหนที่มันยังมืดอยู่ ก็ปรับเป็นสว่างซะ คิดยังไงให้รู้สึกดี
ความคิดสว่างที่ง่ายที่สุดก็คือ อย่าเบียดเบียนกัน
ความคิดที่เป็นทาน คิดในทางที่จะไม่เอา ถ้าเราเห็นประเด็นเราก็จะเข้าใจ ไม่งั้นเราจะสงสัยว่าทำไมต้องให้ทาน ทำไมต้องรักษาศีล
เพราะเราจะได้ไม่คิด แบบคนที่อยู่ในเขตมืด จิตเราจะได้สว่างขึ้นเรื่อยๆ
เราต้องตั้งใจไว้ล่วง หน้าว่าเราจะคิดยังไงว่าเราจะเป็นคนที่อยู่ในเขตของการให้ทาน รักษาศีล
ถ้าไม่รู้ว่าชีวิตที่สว่างคืออะไร ความคิดที่ถูกคืออะไร ความคิดของเราก็จะทำลายตัวเองได้”
++
เสน่ห์ทางความคิด จาก หนังสือรักแท้มีจริง
คนที่เอาแต่คอยความรักจะไม่เจอความรักไปจนตาย ส่วนคนที่เฝ้าแต่สร้างความรักจะรู้จักความรักในสามวันเจ็ดวัน!
ไม่มีใครที่ไม่คิด แต่คิดแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่นแหละที่ไม่รู้กัน เกือบร้อยทั้งร้อยเข้าใจว่าแค่คิดคงไม่เป็นไร เพราะมันอยู่ในหัวเรา ไม่ได้รบกวนใคร
แท้จริงแล้วผิดถนัด! แค่คุณคิดฟุ้งซ่าน ก็มีคลื่นความปั่นป่วนกระจายออกมาแล้ว แค่คุณคิดอาฆาตพยาบาท ก็มีคลื่นความร้อนผะผ่าวออกมาแล้ว ความปั่นป่วนและความร้อนล้วนเป็นคลื่นรบกวนคนรอบข้างทั้งสิ้น
เคยไหม เห็นใครเดินเข้ามาแล้วคุณนึกรำคาญทันที ทั้งที่เขายังไม่ทันพูดจารบกวนคุณสักคำ? นั่นแหละอาจเป็นตัวอย่างของพวกฟุ้งซ่านจัด เขาพาคลื่นรบกวนติดตัวไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และทันทีที่คุณมอง หรือทันทีที่คุณรู้สึกถึงเงาร่างของเขาในระยะใกล้ แค่นั้นก็เป็นความระคายพอจะทำให้เกิดความกระวนกระวายขึ้นมาได้แล้ว
ทุกคนอยากหลีกหนีออกห่างความฟุ้งซ่านและความเร่าร้อน ไม่อยากให้มันเกิดกับใจตนเอง และไม่อยากอยู่ใกล้คนที่ปล่อยคลื่นแย่ๆอย่างนี้ออกมา แต่ก็นั่นแหละครับ เกือบทุกคนบนโลกใบนี้ ต่างพากันขยันสร้างเหตุแห่งความปั่นป่วนและความเร่าร้อนกันทุกวัน
บางคนตั้งแต่เกิดมาหาความชำนาญเรื่องอื่นไม่ได้ เพราะชำนาญอยู่เรื่องเดียวคือฟุ้งซ่าน ถ้าจัดประกวดคงหาแชมป์ยาก เพราะหามือโปรง่าย
ความฟุ้งซ่านมาจากไหนกัน? คำตอบที่ฟังง่ายเหมือนเอากำปั้นทุบดินคือ ‘มาจากความไม่สงบใจ!’
แล้วที่ไม่สงบใจเพราะอะไร? คำตอบคือเพราะความอยากโน่นอยากนี่ไม่รู้จบ!
ทีนี้ลองตรองดูนะครับ ถ้าวันๆคุณเอาแต่รอคอยความรักด้วยความทรมานใจ คอยจ้องแต่จะอิจฉาริษยาคนที่เขาควงคนหล่อคนสวยไปดูหนังและเที่ยวทะเลกัน อะไรจะเกิดขึ้น?
แน่นอน! สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคลื่นรบกวนที่กระจายออกมาอย่างเข้มข้น และยิ่งคุณเสพติดนิสัยคิดมาก เอาแต่จ้องริษยาคนอื่น ความปั่นป่วนร้อนๆก็จะยิ่งทวีตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆตามวันเดือนปีที่ผ่านไป ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น เพียงเดินเฉียดคนที่คุณปิ๊ง เขาก็อยากเบือนหน้าหนี ‘ของร้อน’ แล้วจริงไหม?
ต่อให้คุณคบใครอยู่นะครับ ความอิจฉาริษยาและความไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี ก็จะทำให้คุณติดอยู่ในวังวนของการรอคอยไม่รู้จบ พูดง่ายๆคือทั้งชีวิตของคุณจะไม่รู้จักรสแห่งความรัก มีอยู่รสเดียวที่รู้จักดีคือการรอคอยที่ไม่เคยสมหวัง!
ความจริงก็คือพวกเราลิ้มรสแห่งความรักได้โดยไม่ต้องรอคอยให้ใครมาถึงตัวเสียก่อน เพียงคุณตั้งความคิดไว้ในทิศทางที่จะปรารถนาดีกับคนอื่นได้ คุณก็อยู่กับความรักเดี๋ยวนั้นแล้ว
หลายคนฟังแล้วส่ายหน้าพะอืดพะอม เพราะแค่นึกก็รู้สึกแล้วว่าตนเองคงคิดปรารถนาดีกับใครไม่ลง ในเมื่อผู้คนเต็มไปด้วยความน่าหมั่นไส้ น่าโกรธ และกระทั่งน่าเกลียดชังปานนี้ แถมตัวเองก็สะสมความหมั่นไส้ ความโกรธ และความเกลียดมาแต่เกิด จะให้แกล้งคิดปรารถนาดีกับใครต่อใคร คงเหลือวิสัยที่จะทำ
ก็นั่นน่ะซีครับ อย่าไปแกล้งปรารถนาดีซิ! ผมกำลังพูดถึงการมีความปรารถนาดีจากใจจริงอยู่ต่างหากล่ะ และต่อไปนี้ก็จะเป็นวิธีฝึกปรารถนาดี โดยอาศัยความเป็นคนขี้หมั่นไส้ มักโกรธ และเกลียดง่ายของคุณนั่นแหละ เอามาเป็นตัวตั้งในการเริ่มฝึก!
๑) เมื่อหมั่นไส้
ทันทีที่รู้สึกตัวว่าหมั่นไส้ใคร ให้หมั่นไส้ต่อไป! แต่ให้เลิกใช้สายตามองบุคคลผู้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความหมั่นไส้ แล้วใช้ใจทำความรู้จักกับภาวะหมั่นไส้ตรงๆ คือดูว่าความหมั่นไส้ให้ความรู้สึกทางใจอย่างไร ชั่วขณะหนึ่งคุณจะรู้สึกเหมือนคนเพิ่งกินน้ำมันหมูเลี่ยนๆ หรือเกิดความอึดอัดแบบที่น่าระอา ตรงนั้นใจคุณจะเลิกยึดความหมั่นไส้ ทิ้งความหมั่นไส้ไปเองโดยไม่แกล้ง ยิ่งทำบ่อยก็จะยิ่งเห็นความหมั่นไส้หายไปเร็วขึ้นทุกที ย้ำว่าอย่าไปพยายามทำให้มันหายไปนะครับ ปล่อยให้ใจหมั่นไส้ไป เราแค่ทำความรู้สึกถึงมันตรงๆเท่านั้น
๒) เมื่อโกรธ
ทันทีที่รู้สึกตัวว่าโกรธใคร ให้ดูว่าโกรธแรงแค่ไหน ถ้าถึงขั้นอยากด่าหรืออยากทุบสักอั้กก็ให้ห้ามใจไว้ อย่าด่า อย่าลงมือ เก็บไว้ในอกนั่นแหละ ทำอกให้เหมือนตู้นิรภัยที่ระเบิดลั่นก็ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาถึงข้างนอก จากนั้นให้นับดูสนุกๆแบบรู้อยู่คนเดียว ว่าเกิดการระเบิดอยู่ในอกกี่ครั้ง แต่ละครั้งแรงหรือเบาต่างกันเพียงใด
ถ้าปล่อยให้ระเบิดมันดังเปรี้ยงปร้างออกมาทางปากหรือทาง มือไม้ คุณจะไม่เหลือสติไว้ดูอะไรเลย แต่ถ้ามันระเบิดอยู่ในอก คุณจะค้นพบว่ามันไม่ทำให้คุณถึงตาย และที่สำคัญคือสติที่รู้เห็นระเบิดในอก จะช่วยให้คุณไม่ต้องเก็บกดด้วย
แต่หากความโกรธของคุณไม่แรงนัก เพียงอยู่ในระดับหงุดหงิด คิดด่าอยู่ในใจ ยังไม่อัดอั้นขนาดต้องทำปากขมุบขมิบหรือชักสีหน้าใส่เขา อันนี้ให้ดูเฉยๆ อย่าห้ามใจไม่ให้หงุดหงิด อย่าไปเร่งให้หายหงุดหงิดเร็วๆ แล้วก็อย่าเผลอคิดถึงเรื่องต้นเหตุ กระทั่งความหงุดหงิดมันกระพือขึ้นเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่โต เริ่มต้นมีควันไฟแค่ไหนก็ปล่อยให้มันคลุ้งอยู่แค่นั้น แล้วในที่สุดมันจะหายไปให้ดู
ฝึกอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าจะโกรธหนักหรือโกรธเบา จิตของคุณจะกลายเป็นนักดูความโกรธ คุณสมบัติเด่นของนักดูความโกรธคือไม่ถูกความโกรธครอบงำ แล้วก็ไม่พยายามครอบงำความโกรธด้วย กระทั่งเหมือนแยกกันเป็นคนละฝ่าย ฝ่ายหนึ่งโกรธให้ดู อีกฝ่ายหนึ่งรู้ความโกรธไป
สรุปให้จำง่ายๆคือ ถ้าอยากพูดด่าหรืออยากลงมือทำ ร้ายใคร ตอนนั้นความโกรธมีไว้ห้าม ไม่ใช่มีไว้ดู แต่ถ้าแค่หงุดหงิดคิดไม่ดีกับใคร ตอนนั้นความโกรธมีไว้ดู ไม่ใช่มีไว้ห้าม
๓) เมื่อเกลียด
ทันทีที่รู้สึกตัวว่าเกลียดใคร ให้ระลึกว่าคุณผูกใจเจ็บแล้วนะ คุณเก็บเชื้อโรคทางวิญญาณไว้กัดกินตัวเองแล้วนะ มองให้เห็นโทษของความเกลียด มองให้เห็นว่าผูกใจเจ็บแปลว่าเจ็บที่ใจตัวเองนาน แล้วคุณจะตระหนักว่าความเกลียดเป็นโรคทางใจโรคหนึ่ง
คุณกำลังเป็นโรค!
บอกตัวเองซ้ำๆไปอย่างนี้เลยครับ จะพูดออกปากให้ชัดถ้อยชัดคำเลยก็ดี พูดจนกว่าใจจะได้ยินจริงๆ
ชีวิตเป็นของยากครับ วันๆเจอแต่คนทำเรื่องไม่น่าพอใจให้เก็บมาคิด แต่ต่อให้คิดถึงขั้นจ้างหมอผีปล่อยของเข้าท้องศัตรู ก็ไม่แน่ว่าจะทำให้ศัตรูเป็นทุกข์หรือเปล่า ที่แน่ๆคือสุขภาพของคุณจะเลวลงทุกที โดยเฉพาะถ้าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและระบบประสาทอยู่ ไม่ว่าอาฆาตมากหรือน้อยก็จัดเป็นของแสลงทั้งนั้น เพราะมันทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น แม้กระทั่งกล้ามเนื้อก็พลอยเกร็งและบั่นทอนความสามารถในการควบคุมตนเองลง
หลักฐานแสดงอยู่ทนโท่ โรคทางใจลามเป็นโรคทางกายได้ เพียงเท่านี้ก็ควรที่คุณจะฉุกคิดได้ว่า ศัตรูของคุณไม่ใช่คนอื่นที่คิดร้ายกับคุณ แต่เป็นความคิดร้ายของคุณเองที่มีต่อคนอื่นต่างหาก!
ความตระหนักจะทำให้คุณเลิกเข้าใจผิดคิดว่าความแค้นอยู่ ส่วนหนึ่ง หัวใจและกล้ามเนื้ออยู่อีกส่วนหนึ่ง เป็นต่างหากจากกัน เหมือนคุณตกเข้ามาอยู่ในเครื่องลงทัณฑ์เครื่องหนึ่ง ซึ่งพร้อมจะบีบให้คุณร้อง หรือกระทั่งบดขยี้ให้คุณตาย ขอเพียงทำผิดกติกา ปล่อยความแค้นให้ครอบงำจิตใจนานพอ
เมื่อเป็นโรคแล้วทำไมไม่อยากหายจากโรค? คุณหวงโรคด้วยหรือ? ไม่เลย! ทุกคนอยากหายจากโรค อยากกลับมีกำลังวังชากันมิใช่หรือ? ตรงจุดของการเห็นเช่นนี้แหละที่จิตจะมีพลังแห่งเหตุผลมากพอจะวางความแค้นลงเสียได้
ชั่วขณะที่จิตของคุณวางความผูกพยาบาทอาฆาตลง คุณจะรู้สึกดี รู้สึกสบาย หรือ อาจจะถึงขนาดปลงใจอโหสิกับศัตรูคู่แค้น ยิ่งแค้นหนักแล้วอภัยได้เร็วเท่าไร ก็จะยิ่งมีประมาณความรู้สึกคล้ายยกภูเขาออกจากอกเร็วขึ้นเท่านั้น
ฝึกแค่ ๓ ข้อนี้แค่สักอาทิตย์สองอาทิตย์ ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้สึก ‘โล่งอก’ ขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นความโล่งอกสบายๆอยู่เรื่อยๆ ไม่อยากเอาเรื่องเอาราวกับใคร มีความสุขกับใจของตนเอง สบายใจกับความไม่หมั่นไส้ ไม่โกรธ ไม่เกลียดของตนเอง ตรงนั้นขอให้ทราบเถิดว่าเสน่ห์ทางจิตเริ่มเปล่งประกายแล้ว
และ ณ จุดนั้นเช่นกัน ที่คุณจะสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับความคิดได้ดีขึ้น ความคิดสามารถยกระดับจิตได้ และเมื่อจิตถูกยกระดับแล้ว วิธีคิดก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง
ขอเพียงจิตของคุณไม่ยอมเป็นที่เกาะของความหมั่นไส้ ความโกรธ และความเกลียด คุณจะเห็นโลกต่างไปอย่างน่าแปลกใจ ตรงนั้นคุณจะพบว่า ความคิดที่ดีที่สุดไม่ใช่การคิดพยายามเปลี่ยนโลกทั้งใบให้ดีพร้อม แต่เป็นการยอมคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองจากร้ายให้กลายเป็นดีต่างหาก
บนเส้นทางแห่งความพยายาม วิธีคิดทั้งหมดของคุณจะยืนพื้นอยู่บนความไม่อยากเบียดเบียนใคร แม้เขาจะมาเบียดเบียนคุณก่อน คุณก็ไม่อยากเบียดเบียนตอบ และเมื่อ ความคิดของคุณยืนพื้นอยู่บนความไม่อยากเบียดเบียนอย่างถาวร แต่ละคลื่นความคิดที่ส่งออกมาเป็นห้วงๆจะกระทบใจคนอยู่ใกล้ให้พลอยรู้สึกดีตาม
คุณคงเคยมีประสบการณ์มองใครสักคนแล้วทราบว่าเขากำลังคิด และแม้ความคิดของเขายังคงเป็นเพียงคลื่นลมเร้นลับอยู่ในหัว คุณก็แน่ใจว่าเขากำลังคิดในเรื่องดีงาม นั่นแหละคือตัวอย่างของคลื่นความคิดที่ส่งเสน่ห์ออกมาได้ ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ขยับปากพูดหรือลงมือทำอะไรเลย
หมั่นสังเกตคลื่นความคิดในหัวของคุณ ว่ากำลังเป็นไปในทางสว่างหรือทางมืด แล้วคุณจะยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขา ว่าแค่คลื่นความคิดในหัว ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นแรงดูดหรือแรงผลักรักแท้ให้มาหา
เมื่อพบความรักในจิตของตนเอง คุณจะแทบไม่แคร์แล้วว่าเมื่อใดรักแท้ถึงจะมา แต่ใครต่อใครจะเริ่มแคร์มากขึ้น ว่าเมื่อใดคุณจะรับรักพวกเขาเสียที!