ยึดติดที่ตัวบุคคล
เมื่อเราตัวโตขึ้น เสื้อผ้าชุดเดิมก็ใส่ไม่ได้อีก
คู่ที่เหมาะสมกันต้องถูกสร้างด้วยความเร็วในการเติบโตเท่าๆกัน มีเป้าหมายทิศทางเดินไปที่เดียวกัน ชอบเดินทางแบบเดียวกัน
ความคิดนี้อาจจะดูแตกต่างจากค่านิยมของคนทั่วไปแต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในสังสารวัฏ ทุกคนเหมือนนักเดินทาง เป้าหมายของการเดินทางคือการออกจากวังวนทุกข์ เราต่างมาพบปะแต่ละคนแค่เพียงชั่วคราว ทุกคนถูกกำหนดทางชีวิตด้วยกรรมของตัวเอง ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องเรียนรู้เอง เข้าใจเอง วางเอง
การยึดติดกับตัวบุคคล ทั้งที่เห็นว่าเป้าหมายต่าง ชอบต่าง คือการยึดความเห็น และเป็นการผูกตัวเองไว้ให้อยู่กับที่ โดยไม่ก้าวหน้าไปไหน
บางคนโดนทำร้าย โดนทิ้ง ก็ยังยึดติดที่ตัวบุคคล เข้าใจว่าเป็นการบูชาความรัก เป็นคนดี ที่จริงเป็นเพราะไม่เข้าใจภาพรวมของชีวิต
เมื่อเราพัฒนาจิตใจขึ้น เรียนรู้ว่าที่เข้าใจว่ารักนั้น ที่จริงคือกรรมที่หลอกให้หลงยึด เรียนรู้เปลี่ยนแปลงตนเองให้ถูกจุด จนจิตใจเติบโตขึ้น ความยึดในความเห็น(ที่คิด)ว่ารักจะคลาย นั่นคืออีกก้าวของการเติบโต เมื่อผ่านบทเรียนเก่า จะได้พบสิ่งที่ดีกว่ายิ่งขึ้น ตามนิสัยไม่ดีที่เราทิ้งไป
เรื่องทุกอย่างแก้ที่ใจเรานี้เอง
++
อยู่ๆก็อยากเขียนเรื่อง การไม่ยึดติดที่ตัวบุคคลลงเพจ คิดมาสองวันแล้ว แต่นึกไม่ออกว่าจะเขียนอย่างไรดี
วันนี้ลืมไปแล้ว เปิดไฟล์บันทึกเสียงที่คุยเรื่องงานกับพี่โจ้มั่วๆ เวลาไปทำงาน พี่โจ้จะชอบเล่านู่นนี่ ให้ญได้ฟัง แล้วนำไปเรียนรู้ มีไฟล์อยู่เป็นสิบ แต่เปิดเจอปุ๊เรื่องนี้พอดี
พี่โจ้เล่าว่าจากประสบการณ์ที่เห็นมา คนเราพลาดเพราะคิดว่าจะเปลี่ยนอีกฝ่ายได้ มนุษย์ทุกคนคิดแบบนี้ นั่นเป็นที่มาให้ก่อกรรม จนใจวาง และเห็นว่าเขาก็มีทางและกรรมของเขา วางแล้วจึงเจอสิ่งที่เหมาะสมขึ้นไปตามการอธิษฐาน
คนที่เหมาะสม คือเหมาะสมเอง ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง เขย่ง หรือย่อตัว คือไม่ต้องพยายามมากมาย
การช่วยเหลือกันก็คือเราเหมาะจะได้ตัวช่วยแบบเขา เขาเหมาะที่จะมีตัวช่วยแบบเรา จึงทำให้ก้าวหน้า
ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา เป็นเรื่องที่ถ้าทั้งสองมีความเหมาะสมกันแล้ว จะมีความเคารพนับถือกัน มีความเต็มอกเต็มใจทำอะไรเพื่อกันได้อย่างมีความสุขโดยที่ไม่ต้องพยายามฝืน
แต่จะมีคู่เช่นนี้ได้ก็เกิดจากกรรมอีกนั่นแหละ ของพี่โจ้เกิดจากการช่วยคนให้พ้นทุกข์เรื่องความรัก แล้วเรียนรู้ พัฒนาตนเอง ที่ต้องเจอคู่แบบต่างๆนี่เป็นกระบวนการใช้กรรม เรียนรู้และสอบให้ผ่าน