จิตเจริญเติบโต ชีวิตก้าวหน้า
ภาวนาเห็นจิตตามจริงยิ่งๆขึ้นก็ทำให้เห็นว่า
การที่จิตจะก้าวหน้ามันจะต้องเกิดจากการไม่ยึด คือถ้าเราไปติดอยู่กับสภาวะหนึ่ง การที่จิตจะหลุดจากตรงนั้นได้มันต้องเกิดปัญญา บางทีภาวนาแล้วเกิดความรู้หนึ่ง แต่ถ้ายึดความรู้นั้น จิตก็จะไม่ก้าวหน้าต่อไปเห็นความจริงที่ยิ่งกว่า ภาวนาไปภาวนาไป ยิ่งเห็นว่ามีความรู้ที่ยิ่งกว่าขึ้นเรื่อยๆ ที่ว่าจริงแล้ว ก็ยังมีจริงยิ่งกว่านี้
และความจริง ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารให้ยึดได้เลย เราเพียงแต่มาฝึกทำความเห็นให้ชัด ให้จิตเข้าใจและถอนความยึดที่ทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ วนลูปเดิมไม่จบสิ้นเท่านั้น
ทำให้นึกถึงคำสอนของพี่โจ้ที่สอนเรื่องคู่ว่า ให้เล็งเป้าหมายที่ความเหมาะสมและการเจริญเติบโตเป็นหลัก
คำว่า เหมาะสม คือเหมาะสมของมันเอง ไม่ต้องพยายามมากมาย ดูที่เป้าหมายคือความก้าวหน้าเป็นหลัก
สำหรับคนที่มีเป้าหมายอยู่ที่ความก้าวหน้าเป็นหลัก สิ่งที่เจอเป็นการเรียนรู้หมด สิ่งที่เข้ามาเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เราสร้างมาทั้งหมด แทนที่จะไปมุ่งเปลี่ยน แก้ไข หรือพัฒนาภายนอก ให้มุ่งเรียนรู้ที่ตนเองเป็นหลัก
พอเราเรียนรู้แล้ว สอบผ่านแล้วก็คือโตขึ้น เราก็มีข้อสอบใหม่ให้สอบข้ามชั้นไปเรื่อยๆจนกว่าจะจบ สิ่งแวดล้อมภายนอกก็จะเปลี่ยนตามจิต แต่หากไม่เรียนรู้ ไม่เข้าใจว่าที่เป็นแบบนี้ เจอสิ่งแวดล้อมแบบนี้เพราะต้นเหตุคือจิต ก็ไม่ก้าวหน้า
ในเส้นทางการเดิน เราอาจพบทั้งตัวช่วยและตัวขวาง แต่เราก็เรียนรู้ได้จากทั้งตัวช่วยและตัวขวาง ทั้งตัวช่วยและตัวขวางสอนเราให้เติบโตได้ (ขึ้นอยู่กับเราด้วย ถ้าขวางมาก ลากออกนอกทางมาก เราก็ต้องฝึกจิตให้มีกำลังเหนือกว่า ซึ่งตรงนี้แหละที่เรียกว่ายาก เลยเรียกว่าขวาง) ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม เป็นบทเรียนที่เราสร้างและต้องแก้เอง (อ่านเพิ่มเติม เรื่องแก้กรรม ในหนังสือเหตุเกิดจากความรัก www.sangtean.com/love/reading )
ด้วยความจริงที่ว่า ไม่มีอะไรทุกอย่างคงที่ ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง แต่จะเปลี่ยนแปลงไปทางใด ขึ้นหรือลง ซ้ายหรือขวาเท่านั้น พี่โจ้จึงบอกว่า คู่ที่เหมาะสมในเวลาหนึ่ง ก็อาจจะไม่เหมาะสมในเวลาต่อมาได้ เพราะแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลง
ถ้าเรายึด ก็จะทำให้เราไม่ก้าวหน้า เปลี่ยนทิศทางจากที่เราตั้งใจ หรือหยุดอยู่กับที่
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะโดยธรรมชาติของจิตที่ไม่รู้ มันจะมีความยึด ยึดในสิ่งต่างๆ ยึดในตัวบุคคล บางทีเหตุเปลี่ยนแล้วผลจึงเปลี่ยน แต่เพราะความยึดทำให้แทนที่จะยอมเรียนรู้ กลับพยายามยื้อ ทำให้ไม่ได้ก้าวไปไหน อยู่กับความทุกข์ อยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่
ดังนั้นถ้าหวังความก้าวหน้า พิจารณาเรื่องคู่ ก็คือคู่ต้องมีความเหมาะสม และพร้อมจะก้าวหน้าเดินในระดับความเร็วเท่าๆกัน และเดินไปในทิศทางเดียวกัน จึงจะไปกันได้อย่างมีความสุข ไม่ใช่การพยายามเดินด้วยกันไปแบบลาก กระชาก ดึง ซึ่งผลของการทำเช่นนั้นจะทำให้เราไม่ก้าวหน้า หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลังได้ อีกฝ่ายจะเป็นอย่างที่เราปรารถนาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละคนเอง
การใช้ชีวิตคู่ของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ภาวนา ไม่มีเป้าหมาย เห็นไม่ชัด ก็อยู่ร่วมกันแบบวนๆ แต่ผู้ที่ปรารถนาความสุขแท้จริงยิ่งขึ้น พ้นทุกข์ยิ่งๆขึ้นจะเป็นคนละแบบ จะขัดเจนในการแก้ปัญหา จะชัดเจนในการกระทำ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
การยึดติดที่ตัวบุคคล ก็เหมือนเราพยายามยึดสิ่งที่ไร้แก่นสาร เพราะแต่ละคนก็เหมือนเรา เกิดมาเหมือนนักเดินทาง ต่างคนต่างต้องแล่นไปตามบทกรรมที่ตนเองเป็นผู้เขียนคือทำมา เดินไปก็วนซ้ำแต่ที่เดิม พบปะกันเพียงช่วยคราว แม้จะรักกันมากแค่ไหน อยู่ร่วมกันแล้วสุขหรือทุกข์ ก็ต้องแยกจากกัน เพื่อไปพบปะสิ่งอื่นๆ คนอื่นๆ แต่ก็ไม่พ้นพบเพียงสุขทุกข์แบบเดิมๆ จนกว่าจะระลึกได้ว่าเดินทางบนเส้นทางนี้มายาวไกลและนานมากแล้ว อยากจะหยุดเดินทางเสียที ไม่มีใครเดินข้างใครไปตลอดได้จริง แม้เดินข้างกันไป ก็ไม่สามารถเดินแทนกันได้ หายใจแทนกันได้ กินและอิ่มแทนกันได้ คู่เป็นของสองสิ่ง ยังไงก็แยกกันอย่างอิสระ เพียงแต่ของสองสิ่งนั้น คนสองคนนั้นปรารถนาที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าเหมือนกัน จึงให้กำลังใจ ช่วยเหลือกันไปได้จนกว่าจะสุดทาง