ทำนายและกำหนดความรักตนเอง
ใครๆก็ตามหาความรัก สงสัยว่าความรักคืออะไร นี่คือรักใช่ไหม คนนี้ใช่หรือเปล่า ส่วนใหญ่จะจบที่ทุกข์ แล้วก็ไม่รู้ว่าที่ทุกข์เพราะเราไม่รู้ เราเข้าใจความรักผิดมาแต่ต้น ก็แก้ที่ความเห็น แต่เรากลับไปแก้ที่การตามหา และรอต่อไป
ความรักมีจุดเริ่มต้นจากใจ
อันที่จริง กรรม ชีวิตเราทั้งชีวิต จะได้เจอใคร เกิดมาในครอบครัวแบบไหน เจอเพื่อนอย่างไร มีแฟนอย่างไร มีประสบการณ์ในชีวิตอย่างไร ทุกอย่างเริ่มต้นจากใจ
เมื่อคนเราไม่รู้อดีต อนาคต จึงออกตามหา ส่วนใหญ่เราพึ่งหมอดู แต่ถ้าเข้าใจเรื่องกรรม เราจะรู้ว่า จะเจอหมอดูดีหรือเปล่า หรือเจอดีแต่บอกไม่ตรง คำนวณพลาด เข้านิมิตรเเล้วเห็นหรือไม่เห็น หรือคลาดเคลื่อน ทุกอย่างสัมพันธ์กับกรรมเรา
แม้เราจะนั่งสมาธิเห็นสิ่งต่างๆในอดีตได้ด้วยตัวเอง เราจะเชื่อมันได้แค่ไหน ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วและเรานั่งไทม์แมชชีนไปไม่ได้
แต่ ในเมื่อกรรมคือผลของการกระทำ ดังนั้นเราทุกคนสามารถรู้กรรมของตัวเองได้จากสิ่งที่ส่งผลอยู่ในปัจจุบันนั้นแหละ
คนที่คบคือคนที่ใช่หรือไม่ จะสุขจะทุกข์...
ดูจากนิสัยเขาเราก็รู้เองได้(ต้องอาศัยความเป็นกลาง ไม่มองแง่ดี ไม่มองแง่ร้าย)
อดีตทำมาอย่างไร...
เรารู้สึกอย่างไร ได้รับผลอย่างไร ก็แปลว่าเราเคยทำให้ผู้อื่นรู้สึกมาเช่นนั้น การจะเปลี่ยนกรรมคือเปลี่ยนที่การกระทำ เปลี่ยนที่ใจของผู้รับกรรม ตั้งใจเรียนรู้ว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์เช่นนี้ ของเก่าที่ทำมามากน้อยเราไม่รู้ ก็ยอมรับไป ไม่สร้างกรรมใหม่ แต่ยอมรับในที่นี้ไม่ใช่ยอมรับแบบยอมจมลงไปกับมันนะ
ปล่อยของคนที่รู้จักใจ คือปล่อยวาง ไม่แบกซ้ำเติมให้ทุกข์เพิ่มยืดเยื้อไม่รู้ที่จบ ไม่ยึดถือว่าเป็นความรู้สึกของเราเพราะเห็นตามจริงว่า สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ และมีความไม่เที่ยง เหตุหมดผลก็จะหมด เราเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้เสมอ
ปล่อยของคนที่ยังไม่รู้จักใจคือปล่อยให้ใจหลงไปกับทุกข์ ปล่อยแบบนี้คือปล่อยให้ใจถลำไปกับเจ้ากรรมนายเวร ด้วยอคติคิดว่ารักก็ยอม บางคนโดนทำร้าย ตบตีก็ยอม ปล่อยแบบไม่พยายามพัฒนา อันนี้ไม่ใช่
การปล่อยวางและยอมของพุทธเป็นกระบวนการ หยุดเหตุไม่ดีของกรรมเก่า แต่ไม่ใช่การยอมจำนน เพราะกรรมปัจจุบันเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
อนาคตจะเป็นอย่างไร...
ก็ดูจากนิสัยเราตอนนี้ บางทีเราอาจไม่รู้ว่า สิ่งที่เราทำจะดีหรือร้ายกันแน่ เพราะนิยามคำว่า ดี ของคนเราไม่เหมือนกัน จึงขอแนะนำให้ดูที่ผล เคยมีคนถามว่า ทำไมทำดีไม่ได้ดี จนอยากเลวแล้ว
เหตุดีผลไม่ดีเป็นไปไม่ได้ ถ้าผลยังไม่ดีแปลว่ามีบางอย่างที่ไม่ดีอยู่
อย่างบางคนตามใจแฟนมาก ตามใจตลอด อันนี้ก็เรียกกันว่าดี แต่ทำแล้วแฟนยิ่งยึดยิ่งหวงเรา เราก็ไม่มีความสุข อันที่จริงอีกฝ่ายก็ไม่มีความสุข อย่างนี้เรียกว่าเราทำดีไหม?
ดังนั้นจะดีหรือไม่ดี เราดูที่ผล ถ้าผลไม่ดี เราต้องย้อนดูตัวเอง แยบคาย มาทบทวนทำความรู้จักตนเอง เราต้องเข้าใจความสุขความทุกข์ให้ดีก่อน
ขอยกคำสอนของพระอาจารย์ชยสาโรที่อ่านเจอวันก่อนมาแชร์ค่ะ:)
"การมองว่าเมตตาทำให้เราอ่อนแอ
ชวนให้คนอื่นเอาเปรียบเราได้ง่าย
เกิดจากความไม่เข้าใจธรรมชาติของเมตตา
เมตตาที่แท้ต้องมีปัญญาสนับสนุนเบื้องหลังอยู่เสมอ
(ที่จริงไม่ใช่เมตตาเท่านั้นที่เป็นอย่างนี้
คุณงามความดีทุกประการถ้าขาดปัญญาย่อมไม่ยั่งยืน
เพราะไม่ทันการบ่อนทำลายของกิเลส)
ปัญญานั่นแหละเป็นตัวควบคุมเมตตาให้ไปในทางปลอดภัย
ส่วนเมตตาขาดปัญญาอาจกลายเป็นการบำรุงกิเลสคนอื่น
มากกว่าการให้เขาเป็นสุข เช่น เขาขออะไรจากเรา
แล้วเราไม่พิจารณาถึงผลที่จะตามมาจากการเอาใจเขา
ให้ไปเพียงเพราะว่ารักหรือกลัวว่าขัดใจเขาแล้วเขาจะโกรธหรือไม่รักเรา
ในกรณีเช่นนี้ ความคิดในใจเรา ท่านไม่เรียกว่าเมตตาเสียแล้ว
มันหมดท่ามากกว่าใจอ่อนไม่ใช่ใจเมตตา
สรุปว่าเมตตา ความปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุข
ต้องอิงความเข้าใจในเรื่องความสุขจึงจะถูกหลัก
ต้องจับความแตกต่างระหว่างความสุขที่มีผลเป็นความทุกข์ในระยะยาว
และความสุขที่มีผลคือความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
อย่างแรกต้องสละ อย่างที่สองต้องทำให้มาก"
เราทุกคนมีความสามารถที่จะเข้าใจเหตุและผลของสุขทุกข์ได้ เบื้องต้นก็คือสังเกตที่ใจเราเอง ลดละเลิกสนใจผู้อื่น
จะรู้ว่าทำอย่างไรแล้วสุขหรือทุกข์ ก็ดูว่าเวลาคนอื่นมาทำอย่างนี้แล้วเราสุขหรือทุกข์ ใช้กรรมแล้วก็รู้จักเรียนรู้เหตุและผลของมัน แล้วก็เลือกทำกรรมปัจจุบันที่ดี เป็นการสร้างเหตุที่ดีเพื่ออนาคตที่ดีได้
ให้ความสุขคนอื่นแบบใดก็ได้รับความสุขแบบนั้น มีคนมาให้ความสุขกลับมาเช่นนั้น
ให้ความทุกข์ผู้อื่นอย่างไร ก็ได้รับทุกข์กลับมาเช่นนั้น
ความรักเราจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้...
สังเกตดูว่า ตอนเราหลงรัก หรือทุกข์ เราจะมีอาการหวั่นไหว
ความหวั่นไหวแสดงความไม่รู้ เห็นไม่ชัด ไม่รู้ว่าใช่ไม่ใช่ จะไปในทิศทางไหน
การภาวนา คือการรู้ใจ ดูใจ คือการฝึกใจให้เจริญขึ้น เห็นความจริงได้ชัดขึ้น
พอเรารู้จักใจ เราก็จะรู้จักรัก
ถ้าเรารักเป็น รู้ว่าควรรักอย่างไร จะรักอย่างไม่หวั่นไหว
ใจเรา ใจคนอื่นก็มีธรรมชาติอย่างเดียวกัน เมื่อสามารถเห็นทุกอย่างอย่างเป็นกลาง รู้จักตนเอง ก็จะรู้ว่าคนเช่นไรเหมาะสมกับเรา พร้อมๆกับเหตุที่ดีที่สร้างไว้แล้วจากความเข้าใจเรื่องกรรม ใช้กรรมเก่า สร้างเหตุที่ดี ฝึกใจตัวเองให้รู้จักพึ่งพาตนเอง มีปัญญา มีคุณภาพ ก็จะเหตุที่ทำให้สามารถดึงดูดคนดีๆที่มีคุณภาพเสมอกัน
ถ้าเห็นชัด ก็จะรู้แน่ๆว่าใครคือคนที่ใช่แล้ว ใจก็จะไม่หวั่นไหว
ดังนั้น ใครอยากมีความรักที่ดี ต้องแก้ที่ใจ ฝึกที่ใจ ยิ่งเห็นชัดเท่าไหร่ ยิ่งตอบปัญหาชีวิตตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้น นี่คือของขวัญพิเศษที่พระพุทธเจ้าให้เราไว้ สอนวิธีที่ทำให้เราเป็นที่พึ่งของตนเองได้ และแน่นอนกว่าสิ่งภายนอกใดๆ
การภาวนาปฏิบัติธรรมเป้าหมายสูงสุดคือไม่ทำให้กลับมาทุกข์อีก ระหว่างทางก็ช่วยให้ดำเนินชีวิตอย่างทุกข์น้อยลงเรื่อยๆด้วย
คู่ชีวิต หมายถึงคู่ที่จะเดินร่วมชีวิต คู่ที่ดีและเหมาะสมที่จะร่วมเดินกันไป แบ่งปันความสุขและเจริญเติบโตร่วมกันไปตลอดอีกหลายสิบปี คงไม่ได้มาด้วยเหตุบังเอิญ แต่เกิดจากเหตุที่สะสมไว้ดีแล้ว และใจที่มีคุณภาพเพียงพอแล้ว
เชื่อในศักยภาพของตนเองที่สามารถรู้และพัฒนาได้ ไม่มีใครตอบเรื่องหัวใจของตนเองได้ดีกว่าตัวเราเองอีกแล้ว:)