รักอยู่ที่ใจ หรืออยู่ที่ใคร

หลายคนยอมทุกข์มากกว่ายอมเหงา ก็เลยยึดก้อนทุกข์ไว้ กอดไปร้องไห้ไป

พิจารณาดูให้ดีๆที่ว่ารักนั้น ความรักของเรามันอยู่ที่ไหน

รักเพื่อสุขหรือรักเพื่อทุกข์

ที่คิดว่าความสุข/ทุกข์เราขึ้นอยู่กับใครแปลว่าเรารักคนนั้น นี่มันบอกอะไรอยู่ ความรักเราอยู่ที่คนอื่นจริงหรือ

ถ้าคิดว่าความรักคือการที่มีชีวิตขึ้นอยู่กับคนอื่น เราก็ไม่สามารถทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้นได้ แล้วความสุขความทุกข์ของเราก็คาดเดาไม่ได้ด้วย เพราะมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของอีกฝ่าย

แต่ถ้าเข้าใจตามจริงใหม่ ลองดูซิว่า คนอื่นเป็นผู้กำหนดชะตาเราจริงหรือเปล่า บางครั้งเขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเรา ไม่ได้นึกถึงเราด้วยซ้ำ ไม่ได้กระทำอะไรที่เป็นการจงใจทำร้าย แต่เราก็ทุกข์ได้

ดังนั้นดูให้ดีๆ ความรัก ความสุข ความทุกข์ ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น แต่อยู่ที่ ความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก ของเรา

บางคนเห็นตรงนี้ ก็เลยพยายามแก้ไข ที่ความคิดของตน จะคิดอย่างไรให้หายทุกข์ คิดอย่างไรให้เลิกรัก


ญ เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือแต่เด็ก หนังสือ how to จิตวิทยาก็ชอบ

แต่เมื่อก่อนมีทุกข์กี่ครั้งก็แก้ปัญหาได้น้อยมาก

เราเคยสังเกตุไหมว่า แต่ละคนคิดต่างกัน แล้วอะไรเป็นที่มาให้แต่ละคนคิดต่างกัน ทำไมบางคนคิดได้ หรือเราอ่าน ฟังมาตั้งเยอะ ทำไมถึงเวลาทุกข์เหมือนจะคิดได้แต่ทำไม่ได้ เจ้าความคิดที่ทำร้ายตนเองมันผลุดมาจากไหน มันผลุดมาเองนี่นา!

ปัญหาคือเราเชื่อความคิด ความรู้สึก ว่ามันเป็นของเรา


หากใครเคยอ่านหนังสือเหตุเกิดจากความรัก ก็จะได้อ่านแล้วว่า ที่มาของความทุกข์ คิดไปแบบไหน เพราะกรรมเก่าที่พาไปให้รู้สึกเช่นนั้น กรรมเก่านี่มีได้หลายอย่าง ทั้งเคยทำให้ผู้อื่นทุกข์เช่นนั้น มาบวกกับกรรมคือนิสัยการสั่งสมวิธีคิดตามประสบการณ์เก่าๆ เช่น รักก็ต้องหึง ก็เลยสะสมที่จะทำตามอารมณ์หึงตลอด เคยทำกรรมเก่าไว้คือไปหลอกคนอื่นไว้จนต้องมาเจอคนเจ้าชู้ไม่พอ ยังบวกนิสัยขี้หึงไปด้วย เลยกลายเป็นทุกข์คูณทุกข์


การอ่านหรือการฟัง เป็นการเริ่มกรรมใหม่ ด้วยการเปลี่ยนมุมมอง มันก็ดี แต่เป็นแค่ขั้นต้นเท่านั้น

หลายคนยังมีความดีและไม่ดีตีกันในหัวตัวเอง จนไม่รู้จะเชื่ออันไหน เพราะกรรมเก่าที่ส่งมาให้คิดพาตนเองไปทุกข์ก็ยังไม่หมด การแก้ด้วยการคิดอย่างเดียว จึงไม่สามารถช่วยได้เต็มที่ ต้องแก้ที่ใจ


ศาสตร์เดียวที่ช่วยแก้ปัญหาทางใจ และบอกวิธีเสร็จสรรพคือพุทธศาสนา

ที่จริงการเรียนรู้ธรรมะไม่ใช่การอ่านแล้วคิดตามเท่านั้น

หลักสำคัญคือการเห็นกายใจตามจริง คือเอา "ใจ" ไปเห็นตามจริง

 ใจคือ รู้ คือผู้รู้สึกและเห็นสิ่งต่างๆ

ใจของคนที่ไม่ได้ฝึก มันเกเร เหมือนเด็กที่ไม่รู้ความ เอาแต่อารมณ์ คือไปยึดอารมณ์(ทั้งๆที่ไม่ชอบนั่นแหละ) ไม่เข้าใจเหตุผลของสิ่งต่างๆตามจริง พอทำอะไรด้วยความไม่รู้ ออกไปซน ก็ทำให้ทุกข์ เกิดแผลตามมา


การภาวนาคือ การฝึกรู้ หรือฝึกสติ ฝึกใจให้รู้เห็นเท่าทัน

เช่น ใครๆก็รู้ว่าความโกรธทำให้ทุกข์ แต่ถามว่าถ้าตอนโกรธแล้วเราไม่รู้ตัว ปล่อยให้โกรธไปเรื่อย บ่นไม่หยุด แค้นไม่เลิก ทุกข์มันจะหยุดตอนไหน

เหมือนไฟไหม้อยู่ เราไม่รู้ แล้วไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุแห่งไฟด้วย ก็ใส่ฟืนเข้าไป

เด็ก ไม่รู้ความด้วย แล้วยังดื้อ ไม่เรียนหนังสือด้วย มันก็เลยทุกข์แบบเดิมๆ


ดังนั้นการศึกษาธรรมะ สิ่งที่สำคัญนคือ ฝึกให้มันรู้

รู้อะไร

ตอบก็คือ รู้ความจริง (ความคิดไม่ใช่ความจริง ส่วนใหญ่เราจะเดามากกว่า)

การจะรู้ความจริง ก็คือต้องรู้สิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ ขณะปัจจุบัน

อารมณ์ใดเกิดขึ้นก็มีสติรู้ทัน

ในภาวะทั่วไป ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรก็ไม่ปล่อยให้คิดฟุ้งซ่าน เตลิดสร้างฝันแล้วคิดว่าเป็นจริง สร้างสิ่งที่ยังไม่เกิดให้ดูเหมือนจริง

วิธีฝึกที่ญทำมาคือ ฝึกสติรู้อยู่กับกายตามความเป็นจริงบ่อยๆ กายที่เราคิดว่าเป็นเรามาตลอด เป็นหญิงชาย ชื่อนั้นชื่อนี้ สวย หล่อ ที่จริงมันไม่ได้บอกว่ามันเป็นอะไร เป็นแต่ความคิดที่แต่ละคนสร้างขึ้น และเรียกสืบให้เชื่อกันต่อๆ 

การรู้กายอยู่กับปัจจุบันคือ รู้อิริยาบทตามจริงที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น มันเดิน นั่ง ยืน เคลื่อนไหว นอน ขยับ หนัก เบา ก็รู้ไปตามนั้น จะทำให้เห็นว่า ตัวกายจริงๆที่เป็นก้อนๆ มันไม่ได้บอกว่ามันเป็นอะไร แต่มีใครคนหนึ่งที่ให้ค่ามันอยู่ นั่นคือความคิด มันแยกกันอยู่ต่างหาก ไม่ใช่สิ่งๆเดียวกัน

เมื่อรู้กายต่อเนื่อง สติก็จะมั่งคงอยู่กับกาย ไม่ไหลตามอารมณ์ หากมีอารมณ์ หรือความคิดต่างๆเกิดขึ้นเอง ก็รู้ทัน เห็นว่ามันเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่ของเรา แล้วมันก็จะดับไปเอง เมื่อไม่ได้เข้าไปคิดปรุงแต่งต่อ ด้วยความอยาก ไม่อยาก 

ฝึกบ่อยๆ ก็จะหมดความหมายมั่นผิดๆในร่างกาย อารมณ์ ความรู้สึก


สรุปคือ..

สิ่งที่เราจะได้จากการภาวนา คือรู้ตามจริงคือ

เมื่อใช้ใจเห็นเหตุและผลด้วยใจเอง มันก็จะค่อยๆมีปัญญาขึ้น ไม่เผลอทำตามเหตุแห่งทุกข์ ทั้งที่ไม่อยากทุกข์

และ..

จะเห็นความจริงซึ่งเป็นหลักเลยว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเอง มันก็แปรปรวนไปเอง จบไปเองได้โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามแก้มัน ที่จริงเราไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนกับอาการต่างๆที่เกิดขึ้นเลย เพราะมันไม่ใช่เรา

เมื่อเห็นว่าความรักของเราคือ ความคิด ไม่ได้เป็นใคร ต่อไปก็ไม่ต้องพยายามเปลี่ยนที่คนอื่น เพียงมีสติรู้ทัน ก็จะไม่ถูกความคิดครอบงำ สามารถมีความรักที่แท้จริงคือเป็นอิสระ ไม่ได้มีชีวิตขึ้นอยู่กับใคร  รู้จักรักอย่างเป็นสุข ไม่จำเป็นต้องทำตามเหตุแห่งทุกข์ หรือที่กรรมเก่ากำหนดไว้ทั้งหมด แต่สามารถตัดสินใจได้ด้วยปัญญาที่ตื่นรู้  ไม่ใช่ทำไปด้วยความหลง ไม่รู้ แล้วทำแบบคาดๆเดาๆตามความเห็น

 


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.