กลัวความไม่แน่นอน
“อย่ากลัวความไม่แน่นอน เพราะมันเกิดขึ้นแน่นอน”
จากประสบการณ์ที่ช่วยตอบปัญหาเรื่องความรักมาหลายคน อีกปัญหาหนึ่งที่มักจะเจอบ่อย ๆ ก็คือ เรื่องการกลัวความไม่แน่นอน หลัก ๆ คือ กลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนไป
หญิงว่าคนส่วนหนึ่งถูกสอนมาด้วยค่านิยมผิด ๆ หลายอย่างเรื่องการเข้าใจธรรมชาติตามจริง
เรื่องความเป็นไตรลักษณ์นี่ พระพุทธเจ้าท่านเน้นเป็นหัวข้อหลักเลยว่า มันเป็นความจริงที่มนุษย์ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้” เปลี่ยนแปลง คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตนของเราที่จะสั่งบังคับหรือควบคุมได้
ธรรมชาติเขาแสดงความจริงอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่สมัยไดโนเสาร์ ยาวมาถึงสมัยนี้ แต่เรามนุษย์กลับหาทางเอาชนะมันตลอด
เช่น เราแก่ลงทุกวัน มนุษย์ก็พยายามหาทางเอาชนะความสวยที่ร่วงโรยด้วยศัลยกรรม หรือสูตรยกกระชับต่าง ๆ
โฆษณาต่าง ๆ ทั่วโลก พากันป่าวประกาศว่าเรายังดีไม่พอ(ไม่เคยพอเลย) ต้องสวยขึ้น เราขาวขึ้นได้ เราต้อง slim อย่างนี้ (ในแต่ละยุดสมัยมีค่านิยมความงามแตกต่างกัน บางสมัยชอบอวบ ๆ เป็นที่นิยมมาก บางยุคในบางประเทศ เช่น ประเทศจีนมีประเพณีมัดเท้า คือมัดเท้าเด็กหญิงไม่กี่ขวบเพื่อดัดปลายเท้างุ้มเข้าจนมีลักษณะคล้ายดอกบัว จนโตแล้วเท้าคนส่วนใหญ่ยาวกี่นิ้วไม่รู้ แต่เค้ามีค่านิยมว่าผู้หญิงคนไหนมีเท้างุ้มจนเล็กยาวแค่ 3 นิ้วเรียกว่า สวยสุดยอด เป็นลักษณะของเท้าดอกบัวทองคำ สมัยนั้นเค้าวัดความงามของผู้หญิงที่เท้า บ้านไหนมีสาวเท้าเล็กจะได้มีโอกาสแต่งงานกับผู้ชายหล่อ รวย มีชาติตระกูล ทั้งที่ตอนมัดก็เจ็บทรมานมาก และต้องเดินแบบผิดธรรมชาติไปทั้งชีวิต มีผลต่อสุขภาพเมื่ออายุมาก ๆ ) ค่านิยมความเชื่อกำหนดว่าเราต้องเป็นอย่างไร ต้องมีอะไร เราก็ต้องเป็นตามนั้น ?
เมื่อคนรักแปรเปลี่ยน เราก็พยายามหาทางเอาชนะ เพื่อให้ได้ความรักกลับคืนมา
ชีวิตเราอยู่กับการเอาชนะสิ่งภายนอกมาตลอดชีวิต เพราะเราแพ้คำบอกกล่าวของคนอื่น เพราะเราแพ้ใจตัวเอง
อย่าพยายามมากจนลืมความจริงของธรรมชาติไปว่า สุดท้ายเราทุกคนก็ตายหมด ไม่เหลือ
สาระของการเกิดคือการตื่นมาเข้าใจความจริง ให้โง่ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย จะได้ไม่ต้องเกิดมาทุกข์ และวิ่งตามเหยื่อเดิม ๆ ในชาติต่อไปไม่จบสิ้น
ยกตัวอย่างของแฟนเพจท่านหนึ่งที่เล่าให้ฟังว่า เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน สามีก็มาเสียชีวิต เธอทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะวางใจอย่างไรให้มีความสุขเลย
หญิงตอบเธอไปว่า..
คนมีแฟนก็ทุกข์เพราะแฟน คนไม่มีแฟนก็ทุกข์เพราะเหงา คนมีแฟนแล้วแฟนเสียชีวิตก็ทุกข์อีก แล้วความสุขเราอยู่ที่ไหนกัน
ในสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง ออกไปมีครอบครัวจนมีลูก 2 คน ตั้งใจจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ ระหว่างทางสามีถูกงูกัดตาย นางเสียใจมาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ยังไงก็ยังมีลูกต้องดูแล ก็เลยเดินทางกลับไปหาพ่อแม่ต่อ ระหว่างทางต้องข้ามแม่น้ำเชี่ยว พาลูกไป 2 คน คนหนึ่งโตพอเดินได้ แต่ยังเด็ก อีกคนยังแบเบาะ จึงตั้งใจอุ้มลูกคนเล็กไปก่อนแล้วมารับอีกคน ปรากฎระหว่างเดิน มีเหยี่ยวบินมาจะโฉบลูกเล็กที่ตัวแดง ๆ นางจึงโบกมือไล่ คนโตเห็นแม่โบกมือ คิดว่าเรียก เลยเดินตามมา แต่น้ำเชี่ยว กำลังเด็กต้านไม่ไหว จึงถูกกระแสน้ำพัดไป นางตกใจจะรีบว่ายไปช่วย เหยี่ยวได้จังหวะโฉบลูกเล็ก เลยตายหมดทั้งสอง
นางเศร้าเสียใจอีกทุกทวี เดินไปถึงหมู่บ้านพ่อแม่ เพื่อนบ้านก็บอกว่า เมื่อคืนมีพายุหนักจนบ้านพังทับพ่อแม่ คนในบ้านตายหมด นางเสียใจแทบบ้า ปล่อยเนื้อตัวกระเซอะกระเซิง เอาแต่ร้องไห้ เดินไปถึงสำนักพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเห็นถึงบุญญาธิการที่นางบำเพ็ญมาว่าจะเข้าใจธรรมะ ท่านจึงเทศน์สรุปใจความว่า
น้ำตาที่ไหลเพราะทุกข์จากการพลัดพรากในการเกิดตายมานับภพนับชาติไม่ถ้วนเทียบแล้วยังมากกว่ามหาสมุทร
อย่าพึงหวังว่า บุตร สามี พ่อแม่ หรือใครจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ เพราะทุกคนต้องตาย และวนเวียนไปตามกรรมของตน นอกจากการมีธรรมเป็นที่พึ่งเเห่งตนแล้ว อย่างอื่นไม่มี
ที่หวังว่าสามีจะเป็นที่พึ่ง สามีก็ตาย มาหวังว่าลูกจะเป็นที่ฝากหัวใจได้ก็ตาย จะกลับไปพึ่งพ่อแม่อย่างเดิม พ่อแม่ก็ตายอีก
เล่าเรื่องให้ฟังเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์เป็นความจริงของชีวิตที่ทุกคนต้องเจอ แต่คนที่มีความสุขจะเพลิน ไม่เคยตระหนักถึงความจริงนี้ มีทุกข์น้อย ๆ อาจสะกิดเราแค่เบา ๆ ถ้าคนมีปัญญาก็จะรู้สึกตัวได้ไว แต่บางคนถึงเจอทุกข์หนัก ๆ สะกิดแรงแบบลูกถีบตกเก้าอี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเราโชคร้ายนะ เขามาบอกว่าเราโชคดีมีโอกาสได้เรียนรู้ ก็ตั้งใจศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม แล้วจะค้นพบคำตอบที่เป็นสัจธรรมที่อยู่ในใจ ความทุกข์ไม่เคยหมดไปเพียงแต่ใครที่จะมองเห็น ความทุกข์ไม่เคยหมดไปได้เพียงแค่ความอยากไม่อยาก
จบท้ายพระพุทธเจ้าให้โอวาทแก่นางว่า "ผู้ใด ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อม แม้อยู่100 ปี ก็เป็นโมฆบุรุษ ไม่ประเสริฐเท่าผู้มีชีวิตอยู่วันเดียวเพื่อเห็นความเสื่อม เกิดแล้วดับของสิ่งทั้งหลาย"
ความจริงแค่นี้แหละที่ครอบคลุมทุกชีวิต แต่เพราะความไม่รู้ทำให้เรายึดแล้วเกิดมาทุกข์แล้วทุกข์อีกไม่รู้กี่ชาติ บางคนมีเวลาในชาตินี้ที่จะเห็นอีก 40 ปี บางคนอีก 30 ปี แต่ที่จริงเราก็ไม่รู้วันตายที่แน่นอนของเราอีก เมื่อไม่ขวนขวายให้ใจเห็นความจริงตรงนี้ ก็เลยพยายามยึดและแสวงหาของไม่จริงไปเรื่อย
ดังนั้นถ้ากำลังหาทางพ้นทุกข์ สับสนไม่รู้จะวางใจอย่างไรให้เป็นสุข คำตอบคือ ไม่ต้องวางไว้ที่ไหนนะ วางกับอะไร ฝากใจไว้กับอะไรก็ต้องทุกข์ตามกฎไตรลักษณ์แน่นอน ปล่อยไปแล้วสุขเอง ภาวนาให้จิตเห็นตามจริงอย่างนี้
เป็นกำลังใจให้ค้นพบคำตอบของสัจธรรมข้อนี้กันนะคะ
ดีแล้วที่เรายังมีชีวิตต่อได้เรียนรู้ในยุคที่ยังมีพระพุทธศาสนา ถ้าพลาดแล้วต้องมาหลงไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ อีกนานเลย
เวลาที่เราทุกข์ อาจจะเหมือนเวลามันช่างยืดยาวนาน แต่ถ้าเทียบกับเวลาในสังสารวัฎ เวลาที่มีชีวิตที่จะทำประโยชน์ให้กลับตนเองช่างน้อยกว่าจนเทียบไม่ได้