พระโพธิสัตว์เรียนรู้โทษของราคะ

ความรักที่บริสุทธิ์ เป็นสุขชนิดที่ไม่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่ความรักด้วยกาม ไม่ใช่ความรักด้วยราคะ

กามและราคะเป็นเหตุให้ยึด ให้หลง ให้หึงหวง เป็นเหตุให้ผิดศีลข้อ 3 เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดในสังสารวัฎ

เราทุกข์เพราะกามมามากแล้ว แต่ก็ไม่เคยยอมวาง เพราะกามเอาสุขแลกทุกข์

รักแท้ ๆ จริงใจ อย่ามองแค่การเสพ 

คนรัก ไม่ต่างจากเพื่อน หรือคนในฐานะอื่น ๆ รักกันเพื่อส่งเสริมทางด้านจิตใจ ให้ผ่องใส ไม่มัวหมอง คลายอุปาทานความยึด รักกันเช่นนี้แล้วพ้นทุกข์ 

นำเรื่องพระชาติครั้งพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ที่เรียนรู้เรื่องโทษของกามราคะมาฝากค่ะ :)

_/\_ _/\_ _/\_

ครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ตั้งปรารถนาพุทธภูมิ   สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า  เคยเสวยพระชาติเป็นกษัตริย์  ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าสัตตุตาปนราธิราช"  ทรงมีพระเดชานุภาพมาก   ทรงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยทศพิธราชธรรม   องค์พระโพธิสัตว์ในภพชาตินี้   ทรงมีพระทัยรักใคร่ในหัตถีพาหนะคือช้างเป็นอันมาก   หากแม้ทราบว่าที่ใดมีช้างลักษณะดีแล้ว ก็จะทรงมีพระอุตสาหะไปประทับแรมอยู่ ณ ที่นั้น  จนกว่าจะจับมงคลคชสารได้  จึงจะกลับสู่พระนคร   แล้วทรงมอบให้นายหัตถาจารย์ผู้ชำนาญเวทย์เป็นผู้ฝึกสอนช้างต่อไป

สมัยนั้น   มีนายพรานผู้หนึ่งได้พบมงคลคชสาร   ท่องเที่ยวอยู่ใกล้สระโบกขรณี   จึงได้นำเรื่องไปกราบทูลเจ้าเหนือหัวเพื่อหวังได้ทรัพย์สินเงินทองเป็นการตอบแทน   ครั้นพระราชาทรงทราบข่าวก็มีรับสั่งให้เตรียมพหลพาหนะออกเดินทางไปสู่ที่แห่งนั้น     เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นมงคลคชสาร   ก็ทรงโสมนัสดำรัสสั่งให้ทหารจับช้างนั้นไว้ให้จงได้   แล้วทรงนำกลับพระนครให้นายหัตถาจารย์เป็นผู้ฝึกสอนช้าง และมีพระราชโองการว่า

"ดูกรพ่อหัตถาจารย์ ! ในระหว่าง ๗ - ๘ วันนี้   ท่านจงเร่งฝึกสอนมงคลคชสารที่เราจับมาจากป่านี้ให้มีมารยาทอันดี  เราจะเล่นนักขัตฤกษ์มหรสพด้วยมงคลหัตถีอันประเสริฐตัวนี้"

เมื่อนายหัตถาจารย์รับพระราชโองการแล้ว  ก็รีบฝึกช้าง   เมื่อครบ  ๓ วันแล้ว ก็รีบนำมาถวายได้ตามกำหนด   ครั้นพอถึงวันนักขัตฤกษ์พระราชาก็สั่งให้ประดับมงคลคชสารนั้น  ด้วยมงคลหัสดาภรณ์พิเศษ   แล้วเสด็จทรงมงคลคชสารนั้นออกว่าราชการและเสด็จทำประทักษิณพระนครคือเลียบเมืองเป็นที่สำราญพระราชหฤทัย   และในคืนนั้นเองฝูงช้างป่าก็ได้เข้ามาในพระราชอุทยานทำลานพรรณพฤกษาชาติน้อยใหญ่ให้แหลกยับ   มิหนำซ้ำยังถ่ายมูตรกรีสลงไว้ในที่นั้นเกลื่อนกลาดแล้วพากันหลีกไป   พอรุ่งสางนายอุทยานเห็นเช่นนั้น  ก็เข้าเฝ้าถวายกราบบังคมทูลเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อพระสัตตุตาปราชาทรงสดับเช่นนั้น   ก็ตรัสสั่งให้เสด็จออกทอดพระเนตรอุทยาน   ในขณะนั้นพญามงคลคชสารบังเอิญได้สูดดมกลิ่นแห่งนางพังช้างตัวเมียทั้งหลาย    ซึ่งยังมีกลิ่นติดอยู่ในที่นั่นก็เกิดความมัวเมาขึ้นมาภายใน  ด้วยอำนาจราคะดำกฤษณาให้เกิดความเสียวกระสัน    จึงสลัดกายให้นายควานท้ายตกลง  แล้วคลุ้มคลั่งแทงทำลายกำแพงอุทยานทลายลง  แม้พระราชาจะทรงพระแสงขอคอเกี่ยวเหนี่ยวไว้ด้วยพละกำลัง    ก็มิสามารถทำให้พญามงคลคชสารนั้นหมดความบ้าคลั่งและรู้สึกตัวกลัวเจ็บได้   ครั้นแล่นมาถึงป่าแล้วพระองค์ก็ได้รับความลำบากบอบช้ำกายหนักหนา   จึงมีสติจึงโน้มเอากิ่งมะเดื่อเป็นหลักเกาะยึดเพื่อทรงกาย  แล้วปล่อยให้พญาคชสารนั้นวิ่งแล่นเตลิดไป   ข้างฝ่ายไพร่พลทหารทั้งหลายก็ไล่ติดตามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของตน  จึงเร่งรีบตามรอยช้างมาจนถึงป่าใหญ่    แล้วร้องเรียกหาพระราชาเจ้า    ครั้นเมื่อพบแล้วก็เชิญเสด็จรับพระองค์ลงมาจากคบพฤกษา   และประโคมดุริยดนตรีเชิญพระองค์กลับสู่พระนคร     เมื่อถึงพระนครแล้วก็ทรงดำรัสสั่งให้นำนายหัตถาจารย์เข้ามาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า

"ดูกร  นายหัตถาจารย์ผู้เจริญ ! ตัวท่านนี้มีความผิด   ด้วยประสงค์จะใคร่ฆ่าเราเสียมิใช่หรือ ?"   นายหัตถาจารย์จึงกราบทูลว่า

"ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ ! เหตุไฉนพระองค์จึงดำรัสกับข้าพเจ้าเช่นนี้เล่า ?   เหตุที่ทำให้พญาหัตถีมีอันวิปริตเป็นเช่นนั้น   เป็นเพราะอำนาจความเร่าร้อนแห่งราคะกิเลส     แม้ได้สมความต้องการของตนแล้ว  ก็คงจะกลับมาดอกพระเจ้าข้า"   เมื่อสดับดังนั้นแล้วก็ให้ควบคุมตัวนายหัตถาจารย์ไว้ก่อนเพื่อรอคอยให้พญามงคลคชสารนั้นกลับมา

ส่วนพญาช้างเมื่อได้สำเร็จมโนรถกับนางพังช้างแล้วก็รีบกลับเข้าไปในเมืองที่ตนอยู่ พอถึงรุ่งเช้านายหัตถาจารย์ตื่นขึ้นมาเห็นมงคลคชสารยืนอยู่ในโรงแล้ว  ก็รีบเข้าไปกราบทูลพระราชา  พระองค์จึงรีบเสด็จมาโดยด่วนที่โรงช้าง   และมีพระดำรัสว่า

"เออ...  ก็มงคลราชหัตถี  ท่านสามารถฝึกสอนให้รู้ดีถึงเพียงนี้แล้ว เหตุไฉนวันนั้น  เรากดเหนี่ยวไว้โดยแรงด้วยพระแสงขออันคมยิ่ง  ยังไม่สามารถที่จะห้ามได้  มันเป็นเพราะเหตุใดหนอ ?"

ท่านอาจารย์ช้างผู้ขมังเวทย์ได้ทีจึงรีบทูลตอบว่า  "ขึ้นชื่อว่าราคะดำกฤษณานี้  ย่อมมีคมเฉียบแหลมยิ่ง   เกินกว่าคมแห่งพระแสงขอเป็นร้อยเท่าพันทวี  อนึ่ง  ถ้าจะว่าข้างร้อนเล่า  ขึ้นชื่อว่าร้อนแห่งเพลิงคือราคะดำกฤษณานี้  ย่อมร้อนรุ่มอยู่ในทรวงของสัตว์บุคคลอย่างเหลือร้อน  ยิ่งกว่าความร้อนแห่งเพลิงตามปกติเป็นไหนๆ อนึ่ง  ถ้าจะว่าไปข้างเป็นพิษเล่า   ขึ้นชื่อว่าพิษคือราคะดำกฤษณานี้   ย่อมมีพิษซึมซาบฉุนเฉียวเรี่ยวแรงรวดเร็วยิ่ง   เกินกว่าพิษแห่งจตุรพิธภุชงค์  คือ พิษแห่งพญานาคราชทั่งสี่ชาติสี่ตระกูลเป็นไหนๆ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงมิสามารถหยุดยั้งด้วยกำลังพระแสงขอได้  พระเจ้าข้า !"

"แล้วไฉนพญาคชสารนี้  จึงกลับมาโดยลำพังใจของตนเอง"  พระราชาทรงถามขึ้นหลังจากที่ฟังนายหัตถาจารย์อธิบายเป็นเวลานาน

"การที่พญาคชสารกลับมาในครั้งนี้  ใช่ว่าจะมาโดยเจตนาก็หาไม่  แต่เป็นเพราะกำลังอำนาจมนตรามหาโอสถของข้าพระพุทธเจ้า  !"

เมื่อทรงสดับดังนั้นแล้ว  พระองค์จึงตรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์แสดงกำลังมนต์มหาโอสถให้ทรงทอดพระเนตร   ส่วนนายหัตถาจารย์ก็ได้ให้บริวารไปนำเอาก้อนเหล็กก้อนใหญ่มา   แล้วให้ช่างทองเอาใส่เตาสูบ  เผาด้วยเพลิงให้ก้อนเหล็กนั้นสุกแดงแล้วจึงเอาคีมคีบออกจากเตา  เรียกพญาช้างเข้ามาแล้วร่ายมนต์  พลางบังคับให้คชสารจับเอาก้อนเหล็กแดงนั้นด้วยคำกำชับสั่งว่า

"ดูกรพญานาคินทร์ผู้ประเสริฐ  จงหยิบเอาก้อนเหล็กนั้น ณ  บัดนี้  แม้นเรายังไม่ได้บอกให้วาง ท่านจงอย่าได้วางเลยเป็นอันขาด"

ครั้นพญาช้างได้ฟังคำสั่งบังคับ ก็ยื่นงวงออกมาจับเอาก้อนเหล็กที่ลุกเป็นไฟ  แม้ว่าจะร้อนงวงเหลือหลายจนงวงไหม้เป็นเปลวควันขึ้นก็ดี   ก็ไม่อาจจะทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียได้ด้วยกลัวต่ออำนาจมนตราของนายหัตถาจารย์เป็นกำลัง   เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นงวงพญาช้างถูกเพลิงไหม้เช่นนั้น ก็ทรงสงสารเวทนาและเกรงพญาช้างจะถึงแก่ความตาย  จึงดำรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์บอกให้พญาช้างทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสีย  ทรงหวนคิดถึงอำนาจราคะดำกฤษณาของพญาช้าง  พร้อมกับคำชักอุปมาอธิบายของนายหัตถาจารย์  ทรงยิ่งสังเวชในใจหนักหนา   จึงเปล่งสังเวชเวทีว่า

"โอหนอ   น่าสมเพชหนักหนา   ด้วยฝูงสัตว์มาติดต้องข้องขัดอยู่ด้วยราคะดำกฤษณา   อันมีพิษพิลึกน่าสะพรึงกลัวร้ายกาจยิ่งนัก  ราคะคือความกำหนัดนี้ย่อมมีมหันตโทษมหาศาล เพราะเพลิงราคะมีกำลังหยาบช้ากล้าแข็ง   ร้อนรุ่มสุมทรวงสัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้   สัตว์ทั้งหลายจึงต้องถูกกิเลสราคะย่ำยีบีฑา นำทุกข์มาทุ่มถมให้จมอยู่ในอู่แอ่งอ่าวโลกโอฆสงสารไม่มีวันสิ้นสุดลงได้   เพราะราคะกิเลสนี้แล   สัตว์ทั้งหลายจึงต้องไปตกหมกไหม้อยู่ในมหานรกทั้งแปดขุม   และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในกำเนิดเดียรัจฉาน   สัตว์ทั้งหลายต้องบ่ายหน้าไปสู่อบายภูมิ  ก็เพราะราคะดำกฤษณานี้เป็นประการสำคัญ  สัตว์ทั้งหลายที่เบียดเบียนบีฑาซึ่งกันและกันก็เพราะอำนาจดำกฤษณา   ทำให้ต้องระทมตรมทุกข์ถึงซึ่งความพินาศนานับประการ  ไม่เว้นแม้แต่บุตรธิดา   มารดาบิดา ภรรยาสามีที่รักเป็นหนักหนา   ก็ยังต้องเบียดเบียนบีฑาฆ่ากันเพราะอำนาจดำนี้มานักต่อนัก   มิใยถึงคนอื่นที่มิใช่ญาติเล่า  ก็ยิ่งฆ่ากันเป็นมีอำนาจดำกฤษณานี้เป็นเหตุพื้นฐาน     บางครายอมจ่ายทรัพย์สินไปในทางไร้ประโยชน์  บางทียอมเสื่อมจากยศและเกียรติคุณ   บางทีย่อมประกอบกรรมอกุศลทำให้สิ้นสุข    และเมื่อจิตใจเบือนจากกุศลย่อมไปสู่ทุคติภพ บางทีให้ลุอำนาจแก่ ความโลภ  โกรธ  หลง จนต้องเจริญโทษทุกภพทุกชาติที่เกิด  ให้ถือกำเนิดในอบายภูมิทั้งสี่  เพียงเท่านี้ก็หาไม่  บางคราย่อมทำตนให้พินาศจากศีลสมาทาน  บางกาลทำให้คนเสื่อมจากฌานภาวนาสมาธิจิตเป็นนิจกาล  ราคะกิเลสจึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มหันตโทษให้เสวยทุกขเวทนา   เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องมีความเศร้าหมองต่างๆ มากมาย"

เมื่อตรัสเช่นนั้นแล้ว  ก็มอบรางวัลให้แก่นายหัตถาจารย์เป็นอันมาก   แล้วคำนึงในพระราชหฤทัยว่า  "สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้จักพ้นจากอำนาจราคะดำกฤษณาอันเป็นทุกขภัยในวัฏฏะนี้ได้ด้วยประการใด?" แล้วจึงเห็นแจ้งในพระราชหฤทัยว่า  ธรรมทั้งหลายอื่นนอกจาก  "พุทธกรณธรรม"  แล้ว  ก็ไม่เห็นว่าสิ่งอื่นจะเปลื้องตนให้พ้นจากวัฏสงสารได้ ดังนั้นพระองค์จึงหยั่งพระราชหฤทัยลงเที่ยงแท้ถือเอาพระพุทธภูมิปณิธานว่า

"เราได้ตรัสรู้ซึ่งพระโพธิญาณแล้ว   ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้รู้ด้วย  เราพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อใด  ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อนั้นด้วย"

ครั้นทรงกระทำปณิธานปรารถนาเฉพาะพระพุทธภูมิในพระราชหฤทัยด้วยประการฉะนั้นแล้ว  ก็ทรงสละราชสมบัติ  ดำรงเพศเป็นพระดาบสบำเพ็ญพรตปฏิบัติชอบอยู่ตราบสิ้นอายุขัยแล้วก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์เทวโลกเสวยสุขอยู่สิ้นกาลนาน  และองค์สมเด็จพระนราธิบดีสัตตุตาปราชา กลับชาติมาเกิดคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า ของชาวเราพุทธบริษัททั้งหลาย     พญามงคลคชสาร  กลับชาติมาเกิดในชาติสุดท้าย คือพระมหากัสสปเถระเจ้าสังฆวุฒาจารย์  ซึ่งเป็นพระมหาเถระอรหันต์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในศาสนาพุทธ  ส่วนนายหัตถาจารย์  กลับชาติมาเกิดในชาติสุดท้าย จักได้ตรัสเป็น สมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า   ซึ่งจักมาตรัสในอนาคตกาล หลังจากศาสนาของสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูเจ้า  เสื่อมสลายสูญไปจากโลกนี้แล้ว  และเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยได้ตรัสรู้ประกาศพระศาสนาแล้ว คราวหนึ่งพระองค์จักเสด็จไปที่ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต   อันเป็นที่บรรจุศพของพระมหากัสสปเถรเจ้า   แล้วพระองค์จักทรงยื่นพระหัตถ์เบื้องขวาช้อนเอาซากศพของพระสังฆวุฒาจารย์อรหันต์กัสสปะนั้น ขึ้นชูไว้บนฝ่าพระหัตถ์ อันประกอบด้วยจักรลักษณะแล้ว  จะมีพุทธฏีกาตรัสแก่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า

"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! เธอจงพากันมองดูซึ่งซากศพนี้  นี่คือศพของผู้เป็นพี่ชายของตถาคต   ซึ่งเป็นสาวกใหญ่ในศาสนาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฎศรีศากยโคดมบรมครูเจ้า (สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย   เคยบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพุทธกาลมีนามว่า   อชิตภิกษุ เป็นภิกษุที่มีพรรษาน้อย  ฉะนั้น   พระองค์จึงเรียกพระมหากัสสปเถระเจ้าด้วยคำกล่าวออกนามว่า  พี่ชายของตถาคต ในกาลครั้งนั้น)  มีนามว่าพระอริยกัสสปะเถระ เป็นผู้ทรงคุณพิเศษโดยถือธุดงควัตร  จนตราบเท่าดับขันธปรินิพพาน"   เมื่อมีพุทธฎีกาตรัสแนะนำดังนี้แล้ว  สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยก็ทรงสรรเสริญคุณแห่งพระมหากัสสปเถระเจ้าต่อหน้าพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย   ในขณะนั้น เปลวอัคคีก็จะบันดาลมีเกิดขึ้นในซากอสุภะของพระเถรเจ้า   แล้วค่อยลามเลียลุกไหม้ศพให้สิ้นซากปราศจากเถ้าถ่านอยู่บนฝ่าพระหัตถ์ของสมเด็จพระสรรเพชญ์ศรีอาริยเมตไตรยเป็นอัศจรรย์

หากแม้นบุคคลใดที่ได้เกิดอยู่ภายใต้ร่มแห่งบวรพระพุทธศาสนา ได้สดับตรับฟังพระธรรมแล้ว   นับได้ว่าเป็นผู้มีบุญประเสริฐยิ่งนัก เหมือนดั่งพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า  ผู้ดื่มด่ำในรสพระธรรม  ย่อมมีใจผ่องแผ้วเป็นสุข   บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศแล้ว ในกาลทุกเมื่อ


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.