กรรม
พี่โจโจ้
กรรมเก่านั้นส่งผลที่ความรู้สึก
และอันที่จริง วาระของกรรมที่คุณกำลังรับผลอยู่นี้
อันที่จริงได้เริ่มส่งผลตั้งแต่วันแรกที่ใจคุณเข้าไปผูกกับเขาคนนี้แล้ว
ที่ว่า ความรักทำให้ตาบอด ต้องพูดให้เป็นธรรมมากขึ้นว่า กรรมบังตา
...หรือพูดอีกคำก็คือ กรรมบังคับให้ใจไปผูกกับคนที่จะนำให้เราไปรับผลที่เราเคยก่อไว้นั่นเอง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ว่าเก่งแค่ไหน ถ้ายังมีความเห็นว่าความรู้สึกคือเรา
(เวทนาขันธ์ของเรา/ขันธ์ของเรา/ความชอบของเรา) ก็จะเชื่อความรู้สึกและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้/เป็นคู่/มีความสัมพันธ์/หลงรักคนที่จะรานน้ำใจเรา
จากการที่เชื่อความรู้สึก "ของเรา" นี่เอง
จึงกล่าวได้ว่า กรรมเก่าของเรา ส่งให้เราต้องไปพบและผูกใจกับคนที่จะนำเราไปรับผล(วิบาก)ของกรรมที่เราก่อไว้ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์
กรรมเก่าของเรา ส่งให้เราไปพบและผูกใจกับคนที่มีนิสัยที่จะก่อกรรมใหม่ของเขากับเราเพื่อให้เราได้รับผลของสิ่งที่เราก่อไว้ในอดีต เรียกได้ว่า กรรมเก่าของเรา กรรมใหม่ของเขา
และไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขาจะต้องไปรับผลของสิ่งที่เขากระทำไว้ ไม่ว่าคุณจะเรียกร้อง/สนับสนุนหรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณอโหสิกรรมให้เขา เขาก็ยังคงต้องไปรับอยู่ดี แต่จะไปรับกับคนอื่น
แต่ถ้าคุณไม่ยินดีที่จะอโหสิกรรมให้เขา คุณก็จะผูกกับเขาไปเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ หนี้เก่าก็ไม่ชดใช้ หนี้ใหม่ก็ก่อเพิ่ม ก็จะ "อ่วม" ขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะยอมจำนน ยอมชดใช้ให้แต่โดยดีทั้งหมดชดใช้ตอนนี้ มูลหนี้ยังน้อย ดอกเบี้ยยังไม่บาน ถ้าไม่ชดใช้และยังก่อหนี้เพิ่ม ก็ต้องไปชดใช้อยู่ดีในกาลข้างหน้าทั้งหนี้เก่าหนี้ใหม่ คงให้หลักการไว้ได้เพียงเท่านี้
ส่วนหนทางแก้ไขก็คือ หมั่นสละแรงกายแรงใจและทรัพย์สินส่วนตัวของคุณเพื่อช่วยให้ผู้อื่นรอบข้างพ้นจากทุกข์ในแบบเดียวกับที่คุณกำลังเผชิญ คุณจะได้เรียนรู้มันจากอีกมุมหนึ่ง ได้เพื่อน ได้ใช้กรรม ได้อานิสงส์ที่จะทำให้คุณเกิดอาการคิดได้ ตาสว่าง และรู้สึกเห็นดีเห็นงามกับการให้อภัยใครก็ตามที่ร้าย ด้วยความที่เข้าใจที่มาที่ไปของเหตุของผลได้อย่างกระจ่างครับ
ปัญญา = ความรู้ชัด/รู้แจ้ง/รู้แบบหมดมุมมืด (แจ้งแปลว่าสว่าง)/รู้สิ้นสงสัย
การที่เกิดปัญญาเพราะได้พิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเรื่องต่างๆแล้วเห็นถึงความจริงของกรรมจนกระทั่งเข้าใจว่า การที่บุคคลต้องไปเผชิญกับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากกรรมเป็นใหญ่อยู่ในเบื้องหลัง บุคคลที่เห็นอย่างนั้นแล้วย่อมคลายจากความเข้าใจผิดว่า
-ร่างกายของเรา
-ความรู้สึกเป็นของเรา
-ความจำของเรา
-ความคิดของเรา
-การรับรู้ของเรา
อันจะเป็นเหตุให้ปัญญาเริ่มทำงาน เห็นสิ่งๆต่างๆตามความเป็นจริง
คือแทนที่จะเชื่อใจที่บอด(ความรักทำให้ตาบอด) ก็เปลี่ยนมาเป็นการพิจารณาสิ่งต่างๆตามจริง ว่า
คนๆนี้เหมาะสมหรือไม่ มีศีล ศรัทธา ปัญญา จาคะเสมอกันกับเราหรือไม่ มีฆราวาสธรรมคือสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะในระดับที่เพียงพอต่อการครองเรือนหรือไม่ รู้จักนำ(ฟังและนำไปคิดเปรียบเทียบกับความจริงที่เกิดขึ้นและมองเห็นได้)ภูมิปัญญาของผู้ที่ผ่านชีวิตมาก่อน(เช่นพ่อ-แม่-ปู่-ย่า-ตา-ยาย-นักปราชญ์ ฯลฯ)
ไปพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหลายอย่างเป็นกลาง อย่างละเอียดอ่อนโดยไม่ด่วนสรุปแล้วจึงตัดสินด้วยเหตุด้วยผลว่าคนๆนี้เป็นอุปนิสัยในการเป็นผู้ครองเรือนเพียงใด ถ้าไม่มี คือตนเองก็ยังรับผิดชอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องหวังว่าจะไปรับผิดชอบคนอื่นได้ จึงไม่ใช่ผู้ที่ควรเป็นผู้มีภรรยา ไม่ใช่ผู้ควรมีบุตร ไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมในการปกครองบริวาร เป็นต้น
อ่านเพิ่มเติม
หนังสือเหตุเกิดจากความรัก http://issuu.com/gwync/docs/love_whole_book_page