รักแบบไม่ต้องตั้งใจ

 

หนังสือที่เราอ่านจบแล้ว ใช่จะหมดค่าเสมอไปนะคะ
ญเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และบ่อยครั้งพบว่า เมื่อเราโตขึ้น เราเรียนรู้ใจตนเอง(หรือที่เรียกว่า ภาวนา) แล้วเรากลับไปอ่าน ไปฟังเรื่องเดิมๆ มันทำให้มุมมอง หรือสิ่งที่เราได้เปลี่ยนไปเหมือนกัน


มีพระรูปหนึ่งเคยบอกว่า ท่านเทศน์เรื่องเดียวกัน แต่คนฟังแต่ละคนได้ประโยชน์ ได้ความรู้ ไม่เท่ากัน ต่างมุมมองกัน ดังนั้น การฟังหรือการอ่าน มันขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเป็นหลัก เพราะความจริงมันมีเหมือนเดิมของมันอยู่แล้ว แต่คุณภาพของใจคนที่แตกต่างกันต่างหากที่ทำให้ธรรมะเข้าถึงใจได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นญจึงเน้นเรื่องการภาวนามาก เพราะปัญหาของคนส่วนใหญ่ มันมาจากใจนี่แหละค่ะ:)

เกริ่นๆพอเป็นออเดิฟแล้ว ตอนนี้จะเข้าจานหลักของบทความนี้ซะทีนะคะ ^^
วันก่อนได้ย้อนกลับไปดูบันทึกเสวนาที่ไปกับพี่โจ้มา ชื่อเสวนา “รักอย่างไรให้ใจเป็นสุข”
ใครยังไม่เคยฟัง เข้าไปฟังได้ที่ http://sangtean.com/love/interesting/videos/video-happy-love

มีอยู่ตอนหนึ่งที่คุณโบว์ ไทรอั้ม คิงดอม ผู้ร่วมเสวนาบอกว่า “เราต้องตั้งใจที่จะรัก” ไม่ว่ามีปัญหาอะไร เราก็ต้องตั้งใจที่จะรัก
ฟังดูเผินๆ มันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหมคะ เวลาเรารักใคร ไม่ว่าจะมีอุปสรรคเพียงไร ให้เราตั้งใจที่จะรัก มันอาจจะค้านกับความเชื่อที่เราเรียนรู้มา
แต่ในมุมมองหลังจากที่ญได้ศึกษาเรื่องกรรมจากพี่โจ้ มันทำให้มีความเห็นต่างออกไปค่ะ ว่าคนส่วนใหญ่ยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ยังเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ วิธีการที่จะนำเสนอต่อไปนี้คือ แนวทางที่จะนำไปสู่การมีคู่ที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ไม่ต้องตั้งใจ หรือฝืน ในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นค่ะ


ในการเสวนาครั้งนั้น พี่โจ้ได้บอกเล่าเรื่องราวของตนเองเหมือนกันว่า
ในวาระที่พี่เค้าทำงานเหนื่อยอย่างมาก แต่ภรรยาโทรมาบอกตอนดึกว่า ไม่ไหวแล้ว  ให้ช่วยมารับหน่อย แล้วพี่โจ้ก็มีแรง สามารถลุกขึ้นจากเตียงไปรับได้ ทั้งหมดนี้มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ
ต้องท้าวความกลับไปนิดหน่อยว่า ภรรยาของพี่โจ้เป็นคุณหมอ ทั้งคู่ชอบช่วยเหลือคนเหมือนกัน แต่คนละแบบ พี่โจ้เคยเล่าให้ฟังว่าพี่โจ้ศรัทธาในความตั้งใจช่วยเหลือคนไข้ของภรรยา เพราะจะตั้งใจตรวจ และใส่ใจรายละเอียดของคนไข้มาก วันนั้นเป็นวันที่ภรรยาไปทำงาน และกว่าจะช่วยคนไข้คนสุดท้ายเสร็จก็หมดแรง แค่โทรมา ไม่ต้องอธิบายมาก ด้วยความที่รู้จักนิสัยกันดีอยู่แล้ว แม้พี่โจ้จะเหนื่อยแต่ก็สามารถเด้งจากเตียงไปช่วยได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด ถ้าใครเคยมีประสบการณ์ที่เคยให้ใคร ทำอะไรเพื่อใครได้อย่างมีความสุข อันนั้นแหละค่ะ คือสิ่งที่ญต้องการจะสื่อ เราสามารถมีความรักแบบที่รักอีกฝ่ายแบบที่เค้าเป็น และแบบที่เราเป็น และมีความสุขที่จะรักได้ ลองเปรียบเทียบว่า ถ้าเราต้องทำอะไรแบบที่เราไม่ได้เต็มใจ แต่ก็รู้สึกว่าต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ มันคงแห้งแล้ง ไม่มีความสุขเท่าไหร่ใช่ไหมคะ
ถ้าอยากมีความรักแบบไหนก็เลือกได้ ด้วยความเข้าใจเรื่องกรรมนี่แหละ

อ้างอิงตอนที่พี่โจ้เล่า นาทีที่ 17.13

http://www.youtube.com/watch?v=WQx1DiZrf6M&;feature=relmfu

 

ทั้งนี้ ผู้อ่านสังเกตไหมคะว่า การมีจุดร่วมอย่างเดียวกัน คือศรัทธาอย่างเดียวกัน ความหมายของคำว่า ศรัทธาคือการเห็นว่าสิ่งใดนำสุขมาให้ อย่างเดียวกัน มันทำให้เกิดความนับถือกัน อย่างไม่ต้องมีความตั้งใจอย่างไร?


ในเรื่องของกรรม การที่เราจะมาเจอคู่ที่มีศรัทธาอย่างเดียวกัน ชอบอะไรแบบเดียวกัน ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองมากนักเมื่อเจอกับคู่บุญ ก็เพราะได้สร้างเหตุที่ดีมา ในการเสวนา พี่โจ้เล่าว่า พี่เค้าได้สร้างเหตุคือ ได้ช่วยคนที่มีความทุกข์เรื่องความรักมา 300 กว่าคน ให้คนเหล่านั้นพ้นทุกข์ และมีความสุข วันนี้ความสุขเหล่านั้นจึงย้อนกลับมา (หลายคนอ่านแล้วอาจจะร้อง อู้หู แล้วถ้าเราอยากมีความรักที่มีความสุขจะต้องไปช่วยคน 300 กว่าคนเลยเหรอ :0!!!! จะบอกว่าอันนี้แค่ยกตัวอย่างนะคะ แต่ละคน มีทุน หรือมีบุญมาแตกต่างหรือไม่เท่ากัน เอาเป็นว่า ของเก่าสะสมมาอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้าอยากมีความรักที่ดี เริ่มต้นทำดีตั้งแต่ตอนนี้แล้วกันนะคะ^^) อันนี้เรียกว่าเป็นส่วนของทาน คือให้อย่างไร ได้อย่างนั้น

ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้ค้าน ความเห็นคุณโบว์นะคะ แต่แค่จะนำเสนออีกแนวทางหนึ่งที่ตรงกว่า และมีผลในระยะยาว
คือเวลาที่เรามีความรัก ญและหลายคนก็คงจะเคยเป็นคือ คิดว่าคนนี้เป็นเนื้อคู่ของเรา คนนี้คือคนที่ใช่
ที่จริงความจริงมันคือ “กรรมส่งผลที่ความรู้สึก” กรรมมันจะส่งให้เราเชื่อว่าใช่ ทำทุกอย่างทุกทางให้ได้อยู่ร่วม กรรมส่งผลให้คิดว่า "ต้อง" ใช่ "ต้อง" ทำอย่างนี้ แต่อยู่ร่วมแล้วสุขหรือทุกข์นี่เป็นผลจากกรรมล้วนๆ การจะทำให้พ้นทุกข์หรือมีความสุขจึงไม่ใช่ด้วยการ “พยายามทำเพื่อให้ได้อยู่ร่วม” แต่เป็นการแก้ให้ถูกจุดคือ ในที่นี้จะเสนอเฉพาะเรื่องทุกข์เนอะ เพราะสุขคงไม่ต้องแก้^^

ถ้าทุกข์เรื่องอะไร แปลว่าเราเคยทำกรรมเรื่องนั้นๆมา บางคนอาจจะสังเกตได้เลยว่าเรามีนิสัยแบบนี้เหมือนกัน เช่น โดนแฟนพูดจาไม่ดี เราเองก็มีนิสัยแบบนี้ ชอบพูดให้คนอื่นเสียใจเหมือนกันนี่ หรือบางคนจะยังคิดไม่ออก แต่ถ้าเชื่อเรื่องกรรมว่ามันไม่มีเหตุบังเอิญ ก็ต้องเข้าใจจุดนี้ พยายามสโคปปัญหาตัวเองให้เข้าใจง่ายว่า “ทุกข์ 1 เพราะเคยทำ 1 มา” การอบรมตนเองเช่นนี้ และเปลี่ยนนิสัยว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์เช่นนี้ จะทำให้เราไม่ต้องทุกข์เพราะเรื่องเช่นนี้อีก ถ้าแก้ไม่ถูกจุด มันจะมี 2, 3, 4, … ถึง อินฟินิตี้ แต่ 1 ยังไม่ได้แก้ ก็ต้องกลับมาทุกข์ 1 ใหม่นะ ดังนั้นการตั้งใจที่จะรักโดยที่ไม่เข้าใจพ๊อยนี้ มันเท่ากับการยึดในตัวบุคคล(ที่กรรมส่งมา) แล้วเราก็เลือกทำๆๆไปอย่างไม่มีทิศทาง หลักที่ญเขียนนี้ เป็นการทำแบบพัฒนาตัวเอง พัฒนาตัวเองหมายความว่า เมื่อเราเข้าใจข้อผิดพลาดของตนเอง เปลี่ยนเหตุที่จะทำให้ไปเจอผลไม่ดีในใจตนเองมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ชีวิตของเราก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าใครเคยติดตามเพจนี้มา อาจจะเคยอ่านบทวามเรื่องการ อธิษฐาน หรือการตั้งเป้าหมายที่จะมีคู่ที่เจริญเติบโตไปพร้อมๆกัน คือมีความรักเพื่อทำให้ชีวิตทั้งสองคนดีขึ้น เพื่อเกื้อกูลกันจริงๆ

(แนะนำบทความที่พี่โจ้เล่าถึงประสบการณ์ของตนเองตั้งแต่ต้นจนพบคู่ที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข "คนเรามีแฟนไปเพื่ออะไร"

http://sangtean.com/love/love-articles/265-why-we-need-someone )

ชีวิตคือการเรียนรู้นะคะ ค่อยๆพัฒนาตัวเอง จากข้อผิดพลาด เอาง่ายๆก็จากสิ่งที่ตัวเองเห็นและเผชิญอยู่นั่นแหละ
อันนี้อธิบายไว้ตามหลักการและมุมมองกว้างๆนะคะ เมื่อเราเปลี่ยนตัวเองได้เช่นนี้แล้ว พฤติกรรมของคนภายนอก (จะเป็นแฟน เพื่อน คนในครอบครัว ที่มาทำให้ทุกข์ เราก็ใช้หลักการเดียวกัน) ก็จะเปลี่ยนไป หรือเราอาจจะไม่ทุกข์ใจเมื่อโดนกระทำเช่นนั้นอีก และสำหรับในเรื่องความรัก เมื่อเราใช้กรรมเรื่องนั้นๆหมด ก็จะได้รับโจทย์ใหม่ๆเพื่อขัดเกลาจนกว่าเราจะมีนิสัยที่พร้อมจะมีความรักที่ดีจริงๆ ถ้าคู่ของเรายังไม่มีความพร้อม ความรู้สึกที่เรามีต่อเขาก็จะเปลี่ยนไปเองอัตโนมัติคือ ที่เชื่อว่าใช่ มันจะค่อยๆคลายความหลงยึดไปเอง ที่เข้าใจว่า “ต้อง” ทำเพื่อให้ได้มา รักษา เพราะรัก เพราะคนนี้เป็นคู่ เพราะอะไรก็แล้วแต่ ความรู้สึกเช่นนี้จะค่อยๆเปลี่ยนไปเอง

เมื่อเปลี่ยนตนเองไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยว่าเราจะมีความสุขขึ้น คนรอบตัวเราจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความรักที่ดี คือ “การสร้างนิสัยในการเปลี่ยนแปลงตนเอง” ด้วยหลักการง่ายๆที่ไม่ซับซ้อนคือ “ทุกข์เรื่องอะไร ก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้ใครทุกข์แบบนี้” พออบรมตนเองจนเปลี่ยนนิสัยได้ อันนี้เป็นส่วนที่เราเรียกว่า “ศีล คือไม่สร้างเหตุที่ไม่ดีให้ตัวเองต้องไปรับผลไม่ดี ก็จะทำให้เราไม่ต้องเจออะไรแบบนี้อีก”

ในการเปลี่ยนแปลงนิสัยตนเองนั้น จะยากก็ว่ายากนะคะ แต่มันทำได้ และทำได้แล้วคุ้มมาก และถ้าไม่ทำก็จะต้องทุกข์ไปเรื่อยๆ “การเปลี่ยนแปลงนิสัยตนเองจึงเริ่มต้นที่จุดแรกก่อนคือ ความคิด” เราต้องเชื่อว่าเราเปลี่ยนแปลงตนเองได้ และเมื่อความคิดตั้งต้นนี้เกิดขึ้น พยายามวันแล้ววันเล่า ความสำเร็จจึงจะปรากฏ
แค่ใจยอมรับความเห็นที่ถูกและรู้ว่าสิ่งใดดีก็เท่ากับเราเจอทางแล้ว
ที่เหลือ ขึ้นอยู่กับความพยายามในการอบรมใจ และนิสัยตัวเอง มีสติรู้ทันอารมณ์บ่อยๆ แล้วความเห็นของเราจะค่อยๆเปลี่ยน จากที่เคยจำคำพูดคนอื่นได้ จะกลายเป็นเข้าใจจริงๆ
ยกตัวอย่าง เคยเห็นคนที่ยังเข้าใจผิดไหมว่ารักคือการครอบครอง รักแล้วต้องยอมทุกอย่าง รักเลยหึงหวง ก็ฉันเป็นแบบนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ชีวิตนี้ดีกว่านี้ไม่ได้ มันถูกกำหนดมาแล้ว คนที่คิดแบบนี้และเชื่อแบบนี้ ไม่มีวันที่จะมีความรักที่มีความสุขได้นะ
ให้ความสำคัญกับความเห็นที่ถูกก่อน แล้วเชื่อว่าตนเองเปลี่ยนได้ ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ต้องคิดแบบนี้

ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรม เราต้องเข้าใจว่า สิ่งที่เราเจอคือสิ่งที่เราทำมา จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง ต้องเปลี่ยนที่ตัวเรา เปลี่ยนที่กรรมคือการกระทำเรา เปลี่ยนที่ใจของเรา เพราะพระท่านบอกว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน กรรมทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยใจ ค่ะ ^^

สำหรับใครที่อยากเข้าใจเรื่องความรัก และกรรม เพิ่มเติม แนะนำอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://sangtean.com/love/reading


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.