สมมติว่าแฟน

หญิงเคยสงสัยตั้งแต่เด็กว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร และเกิดมาแตกต่างกันทั้งหน้าตา ฐานะ ความฉลาด ได้อย่างไร นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หญิงสนใจเรื่องกฎแห่งกรรม พอโตขึ้นมาหน่อย หญิงก็สงสัยว่า ทำไมคน ๆ หนึ่งต้องไปรักคน ๆ นี้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องรัก  แล้วนั่นก็เป็นที่มาให้หญิงเจออาจารย์ทางธรรมคนสำคัญของหญิง เลยทำให้รู้ว่า ที่มาของการรักใคร เป็นแฟนกับใคร จะรักแล้วสุขหรือทุกข์ มันก็มาจากกรรมเหมือนกัน

พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ไม่มีเหตุบังเอิญในโลก ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย  “ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ”

คนจะรวยก็เพราะทำเหตุคือ การให้ทาน สละ ให้ผู้อื่นมาก่อน

คนจะหน้าตาดูดี ดูผ่องใส เป็นสุข ไม่ทุกข์ร้อนมาก เพราะทำเหตุคือรักษาศีลมาด้วยดี ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนด้วยกาย วาจา ใจ มาก่อน (ที่จริงไม่เคยทำ ไม่มีหรอก มีแต่ทำมามากหรือน้อย ก็ส่งผลให้ชีวิตสุข ทุกข์ แตกต่างกันไป)

คนจะมีปัญญา ก็เพราะทำเหตุคือ ให้ความรู้ผู้อื่นเช่นนั้นมาก่อน ฝึกฝนการใช้ปัญญาในด้านนั้น ๆ มาก่อน (บางคนเค้าว่า ไม่มีพรสวรรค์ แต่มีพรแสวงฝึกฝน ในเรื่องใด ๆ บ่อย ๆ ก็ทำให้มีปัญญาในเรื่องนั้นเพิ่มขึ้น จนเป็นผู้เชี่ยวชาญได้) แต่ปัญญาก็มีหลายแบบนะ มีทั้งปัญญาทางโลก และปัญญาทางธรรม

ปัญญาทางโลกคือ มีปัญญาในการเอาตัวรอด ทำมาหากิน

ปัญญาทางธรรมคือ สามารถเข้าใจภาพรวมชีวิตที่กว้างกว่า เข้าใจสุขทุกข์ เข้าใจเรื่องชั่วคราว จึงทำให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข กว่าคนที่ไม่รู้ ไม่ใช่มีเงินมากแต่ทุกข์ เหตุของปัญญาทางธรรมก็คือ เป็นผู้อบรมการเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ด้วยการภาวนามาก่อน

การจะพบปะเจอะเจอใคร ก็เป็นเพราะแรงดึงดูดของกรรมในวาระต่าง ๆ การมาเกิดเป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ ญาติ เพื่อน แฟน กับใคร ก็เช่นกัน พระพุทธเจ้ากล่าวว่า คนที่มาพบปะจะเจอกัน ที่ไม่เคยเป็นพ่อ แม่ ญาติ กันมาก่อน ไม่มีเลย

แสดงว่า เราไม่ได้เป็น หรือมีอะไรตั้งแต่แรก แต่เพราะมีเหตุ จึงทำให้ได้มี ได้เป็น เช่นนั้น

เหตุหมด ผลก็หมด” ความจริง ที่เหมือนความจริง แต่ที่จริง มันเป็นแค่เรื่องสมมติชั่วคราว ที่สลับหมุนเวียนกันไป แต่คงอยู่ได้เพราะการยังมีเหตุปัจจัยอยู่

แต่เพราะความไม่รู้ ทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องเหล่านั้นช่างจริงมาก ๆ ไม่มีวันเปลี่ยน  

ภาษาธรรมท่านเรียกเรื่องที่กลับเปลี่ยนแปรปรวนได้ว่ายังเป็นเรื่อง สมมติ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพขึ้นอีก คำว่า สมมติสัจจะ หมายถึง  ความจริงที่มนุษย์ตกลงร่วมกัน อย่างเครื่องรูปทรงเหลี่ยม ๆ ที่เราใช้ติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ภาษาไทย เราเรียก โทรศัพท์มือถือ ภาษาอังกฤษเค้าเรียก mobile phone หรือ cell phone

คำว่า พ่อ ของไทย ภาษาอังกฤษเรียก dad หรือ father แล้วแต่กรณีใช้ ภาษาจีนเรียก ปาป๋า

ภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ติดต่อสื่อสาร จะว่าจริง มันก็จริงจากการสร้าง

ถ้าสอนเด็กเพิ่งเกิดให้เรียกเหล็กว่าไม้ มันก็เรียกว่าไม้ แต่ที่จริงไอแท่ง ๆ นี้มันก็ไม่เคยบอกว่ามันเป็นไม้หรือเหล็ก

ก่อนเกิดเราไม่มีชื่อ แต่เกิดแล้ว พ่อแม่ต้องตั้งชื่อไว้ จะได้เรียกถูก

โตขึ้นมา เขาเรียก คนที่ยังต้องศึกษาหาความรู้ว่า เป็น นักเรียน

ทำงานแล้ว ต้องมีตำแหน่ง

บางคนอยู่ที่ทำงานเป็นหัวหน้า อยู่บ้านเป็นพ่อ อยู่กับแม่เป็นลูก อยู่กับคนนี้เป็นแฟน อยู่กับคนกลุ่มนี้ เป็น เพื่อน

พอสมมติว่ามี พ่อ แม่ ลูก แฟน เพื่อน มือถือ ตำแหน่ง ก็มี พ่อเรา พ่อแก แม่เรา แม่เธอ  ลูกเรา ลูกเพื่อน แฟนเรา แฟนเขา แฟนเก่า แฟนใหม่ เพื่อนเรา เพื่อนอีกฝ่าย มือถือเรา iphone Samsung ตำแหน่งเรา ลูกน้อง หัวหน้า หัวหน้าใหญ่

ทำกรรมเช่นนี้ จึงเกิดมาท้องคนนี้ เกิดมาแล้วเราก็เรียกคนที่อุ้มท้องเรามาว่า แม่

ทำกรรมเช่นนี้ ทำให้มาเกิดความผูกแบบราคะกับคน ๆ นี้ จนได้มาตกลงคบกัน เราก็เรียกว่าแฟน

นอกจากสมมติชื่อ ตำแหน่งแล้ว ก็มีสมมติเรื่องค่านิยม ประเพณี

พอเป็นแฟนแล้ว จะประสบความสำเร็จต้องทำตามค่านิยมที่สังคมสมมติคือ มีการแต่งงาน (สมัยดึกดำบรรพ์ ต้องตีหัวเข้าถ้ำ จึงจะถูก) แต่การแต่งงานก็ยังเป็นเรื่องสมมติ ที่อาจเลิกหย่าได้ คนที่ใช้ไม่ถูกก็รู้สึกว่าทำให้ยึดมากขึ้น 

สมมติเรียกคนผมทองตาฟ้าว่าชาวยุโรป เรียกคนผมดำตาสีเข้มว่าชาวเอเชีย เรียกคนผมดำผิวดำว่านิโกร

สมัยหนึ่งเพราะสมมตินี้ ทำให้เกิดการแบ่งแยก สร้างค่านิยม ความเชื่อผิด ๆ เรื่องการแบ่งเชื้อชาติ แยกสีผิว ทำให้เกิดการดูถูก เหยียดหยาม

สมมติต่าง ๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเรากำลังตกอยู่ในอิทธิพลของสมมติอะไร เราเชื่อมันเมื่อไหร่ เราจะรู้สึกผิด ถ้าทำผิดจากสมมติ

เรื่องของสมมติ ถ้าให้เขียนถึง จะมีตัวอย่างที่บอกว่าเรานำไปใช้ในทางที่ผิด ชนิดที่สร้างทุกข์โทษให้ตัวเองได้หลายกรณีมาก

สรุปว่า สมมติเกิดจากการสร้างขึ้น จากความคิด ความเชื่อ การให้ค่า ของแต่ละสังคม หรือแต่ละคน

ฐานะต่าง ๆ เกิดจากเหตุคือกรรม แล้วความที่เราเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง ก็ทำให้มันดูสมจริงยิ่งขึ้น

สมมติในชาติ ๆ หนึ่ง แยกเป็นเรื่องย่อย ๆ ต่าง ๆ ได้มากมาย แต่รวมเป็นเรื่องใหญ่ก็คือ แม้แต่การเกิดตายก็เป็นเรื่องสมมติ เราเวียนเกิดเวียนตายมาหลายชาติแล้ว สมมติเกิดมาเล่นละครเป็นบทต่าง ๆ พอตายแล้วเกิดใหม่ ก็มาแสเงบทใหม่

หญิงเคยอ่านเรื่องของหลวงปู่มั่น ท่านเล่าว่า เกิดความเบื่อหน่ายในภพชาติ เมื่อครั้งหนึ่งท่านระลึกอดีตชาติได้ว่า ชาติหนึ่งเป็นหมา แล้วเกิดรักกันกับหมาตัวเมียตัวหนึ่ง แล้วก็ตั้งใจอยากเกิดมาคู่กัน ทำให้ท่านต้องวนเวียนเกิดเป็นหมาถึง 500 ชาติ

ตอนเราเกิดเป็นหมา เราไม่รู้หรอกว่าหมามันลำบากอย่างไร เราเป็นคน จึงเห็นว่าหมาลำบากตรงที่หากินเองก็ไม่ได้ ป่วยก็ไม่รู้จะอธิบายบอกเจ้าของยังไง ถ้าเป็นหมาจรจัดก็ป่วยตายข้างถนน

คนก็ไม่รู้ว่าที่ตัวเองเกิดมาแล้วทุกข์อย่างไร แต่เทวดานางฟ้าบนสวรรค์คงจะรู้สึกนะว่ามนุษย์เกิดมาลำบากจัง ต้องทำงานเลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง ไม่เหมือนพวกตนที่อิ่มทิพย์

ที่จริงประโยชน์ของสมมติก็มี คือเพื่อเอาไว้ใช้แยกแยะ สิ่งต่าง ๆ เพื่อจะได้ใช้ถูก เช่น สมมติว่านี่คือเงิน เอาไว้แลกเปลี่ยนซื้อของกัน

แต่ความไม่เข้าใจสมมติ ไม่เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัยของกรรม ทำให้เราหลงยึดมั่นว่าทุกอย่างเป็นจริง และจะต้องเป็นจริงตลอดไป ทำให้เราติดกับของชั่วคราว มีบ้านเราก็ทุกข์เพราะบ้านเรา มีลูกเราก็ต้องทุกข์เพราะลูกเรา มีแฟนเราก็ต้องทุกข์เพราะแฟนเรา

ทั้งที่คนที่มาเป็นลูกเรา ชาติก่อนอาจเป็นพ่อเรา ชาติหน้าอาจเป็นศัตรูเรา

แฟนเราตอนนี้ ชาติก่อนอาจเป็นเพื่อนหรือศัตรูเรา ชาตินี้อีกสิบปีข้างหน้าอาจเป็นเมียเพื่อน

แสดงถึงความชั่วคราวที่เปลี่ยนไปได้ เหตุเปลี่ยน วาระเปลี่ยน ผลก็เปลี่ยน ตราบเท่าที่เราทุกคนยังต้องเกิดในสังสารวัฎ 

สมมติที่น่ากลัว ที่เราไม่เคยเห็นตามจริง ก็คือ ความคิดของเรานี่แหละ แปรปรวนและเปลี่ยนไปได้เสมอ แต่เราก็เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง เชื่อความเชื่อสมมติว่าเป็นจริง จนทำให้เป็นทุกข์กับเรื่องสมมติ และทุกข์กับการเกิดแล้วเกิดอีกมาหลายภพหลายชาติ

ไม่ได้หมายความว่าเราเข้าใจเรื่องสมมติ แล้วจะไม่มีพ่อ มีแม่ มีแฟน ไม่ต้องทำงาน นะ เพียงแต่เข้าใจในเบื้องต้นแล้วจะได้ไม่ยึดมาก พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า สิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป มาทำความจริงนี้(ภาวนา)ให้แจ้งในใจ เพื่อจะได้ถอนอุปาทานความยึดมั่นในเรื่องสมมติ



 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.