ถนอมรัก

คนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ต้องมีความเสมอกัน 4 ข้อคือ ศรัทธา เป้าหมาย มีศีล จาคะ และปัญญา

ศรัทธา หมายถึงเป้าหมาย ความเชื่อว่าสิ่งใดนำไปสู่ความสุขอย่างเดียวกัน ถ้าคนหนึ่งเชื่อว่าความรวยคือความสุขที่สุด อีกคนเชื่อว่าการเข้าใจธรรมะ เข้าใจความจริง คือความสุขที่สุด ก็จะทำให้รูปแบบในการดำเนินชีวิต “รวมถึงการเลือกกระทำ”  สิ่งต่าง ๆ มีกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตต่างกัน ทำให้แม้กายจะอยู่ด้วยกัน แต่ก็เหมือนใจมองไปคนละทิศ

ศรัทธานี้เป็นตัวกำหนดวิถีทางเดินของเราแต่ละคน

ศีล แสดงถึงใจที่มีความปกติ ไม่โลภ โกรธ เบียดเบียนผู้อื่น เช่น ถ้าคนหนึ่งชอบตกปลา อีกคนรักการไม่เบียดเบียน ก็จะทำให้อยู่กันยาก

จาคะ หมายถึงการให้ การสละ น้ำใจ คนสองคนจะอยู่ร่วมกันไปได้ ด้วยนความรัก จะต้องมีน้ำใจความเสียสละต่อกัน ทั้งคู่จะต้องมีการรักษาความสมดุลระหว่าง give และ take ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้หรือยอมฝ่ายเดียว อันนั้นเรียกคู่ใช้กรรม มากกว่าคู่บุญ

 

สมมติว่าแฟน

หญิงเคยสงสัยตั้งแต่เด็กว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร และเกิดมาแตกต่างกันทั้งหน้าตา ฐานะ ความฉลาด ได้อย่างไร นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หญิงสนใจเรื่องกฎแห่งกรรม พอโตขึ้นมาหน่อย หญิงก็สงสัยว่า ทำไมคน ๆ หนึ่งต้องไปรักคน ๆ นี้ ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องรัก  แล้วนั่นก็เป็นที่มาให้หญิงเจออาจารย์ทางธรรมคนสำคัญของหญิง เลยทำให้รู้ว่า ที่มาของการรักใคร เป็นแฟนกับใคร จะรักแล้วสุขหรือทุกข์ มันก็มาจากกรรมเหมือนกัน

พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ไม่มีเหตุบังเอิญในโลก ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย  “ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ”

คนจะรวยก็เพราะทำเหตุคือ การให้ทาน สละ ให้ผู้อื่นมาก่อน

คนจะหน้าตาดูดี ดูผ่องใส เป็นสุข ไม่ทุกข์ร้อนมาก เพราะทำเหตุคือรักษาศีลมาด้วยดี ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนด้วยกาย วาจา ใจ มาก่อน (ที่จริงไม่เคยทำ ไม่มีหรอก มีแต่ทำมามากหรือน้อย ก็ส่งผลให้ชีวิตสุข ทุกข์ แตกต่างกันไป)

 

รักหลงทาง

รักกับหลงต่างกันอย่างไร?

หลงเป็นอาการแสดงของความไม่รู้ ไม่รู้ว่ารักเพราะอะไร ไม่รู้ว่ารักนั้นจะเดินไปทางไหน  แล้วก็ไม่รู้ว่ารักอย่างไรเป็นสุข รักอย่างไรเป็นทุกข์ เหมือนคนเดินปิดตา ยังไงก็ต้องพลาด ล้ม ชนสิ่งต่าง ๆ ทุกข์ เจ็บ แต่ในชีวิตจริงนั้นดูยาก เพราะตานอกเราเปิด แต่เราไม่เห็นว่าตาใจเราปิด

จะเปลี่ยนจากหลงเป็นรักอย่างรู้ ก็ต้องมีความเข้าใจเหตุแห่งสุขและทุกข์

หญิงเคยฟังนิทานจากพระอาจารย์ชยสาโร ท่านเล่านิทานให้ฟังอย่างนี้ค่ะว่า

คนส่วนมากขยันหมั่นเพียรในเรื่องการทำมาหากิน ยอมเสียสละแทบทุกอย่างเพื่อความเจริญทางโลก แต่แทบจะไม่ยอมเสียสละกิเลสแม้แต่นิดเดียว ทำไมเราชอบเป็นอย่างนี้ ? มีสาเหตุหลายอย่างอย่างหนึ่งคือ การหลง ระหว่างเส้นทางและจุดหมายปลายทางของชีวิต

 

มีแฟนเพื่ออะไร

แต่ละคนมีจุดประสงค์ในการอยากมีแฟนต่างกัน บางคนก็อยากมีเพราะเหงา อยากมีเพื่อนไปดูหนัง ฟังเพลง เที่ยว ทำบุญ บางคนอยากมีแฟนเพื่อให้ชีวิตดูสมบูรณ์ อยากมีคนดูแลยามแก่ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนเราจะมีแฟนแบบไหนก็ขั้นอยู่กับกรรม

จุดประสงค์ในการมีแฟนมันบอกได้ว่า เรากำลังพาตัวเองไปในเส้นทางไหน

เช่น ถ้าอยากมีแฟนเพื่อแก้เหงา เราจะกลายเป็นคนขี้เหงาไปเรื่อย ๆ อยู่ดี และมีสุขไปวัน ๆ

ตามที่เคยเขียนบทความไปก่อนหน้า ว่าคนเราที่อยากมี อยากเป็นอะไร ก็เพราะอยากมีความสุข หญิงจึงแนะนำไปแต่แรกว่า จุดประสงค์ให้รัก หรือมีสิ่งต่าง ๆ ใช้สิ่งต่าง ๆ เพื่อความก้าวหน้าไปสู่ความสุข ความพ้นทุกข์  ก็คือตั้งเป้าไว้ว่า จะมีแฟนก็ขอให้มีเพื่อความเติบโต ไม่ได้เพื่ออย่างอื่น เช่น เพื่อมีภาระ หรือ เพื่อเป็นภาระ  (เพราะเรายังไม่รู้จักรักตนเอง และผู้อื่น)

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคนที่ใช่

ครั้งหนึ่งที่ไปบรรยายธรรมะที่จุฬา ฯ จัดโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ร่วมกับศิลปินค่าย love is คือคุณวุฒิ และคุณโบว์

ประทับใจคำตอบหนึ่งมาก มีน้องถามว่า “เวลามีส่วนสำคัญหรือไม่ ในการจะรู้ว่าใครใช่ ไม่ใช่

คุณวุฒิตอบว่า...

เวลานั้นทั้งมีส่วนสำคัญและไม่สำคัญ "ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันอย่างไร"

ถ้าในช่วงเวลาที่คบกัน ทั้งสองคนมีแต่ช่วงเวลาที่ได้ไปเที่ยว ไปดูหนัง กินข้าว ไปหาความสุข มันเป็นช่วงเวลาที่สูญเปล่า เพราะทั้งสองคนไม่ได้เรียนรู้อะไร หรือเรียนรู้อีกฝ่ายเลย

แต่ถ้าช่วงที่คบกัน ทั้งสองได้มีโอกาสเช่น ไปทำกิจกรรมอาสาด้วยกัน เกิดปัญหา ได้แก้ปัญหาร่วมกัน ได้ไปรู้จักเพื่อนหรือครอบครัวอีกฝ่าย มันกลับเป็นช่วงเวลาที่มีค่า เพราะได้เรียนรู้

แบบแรก แม้คบกันหลายปี ก็ไม่มีค่า แบบหลัง แม้ใช้เวลาไม่นานก็มีค่ามาก เพราะมันทำให้เรารู้จักอีกฝ่าย จะได้ดูว่าเราเข้ากันได้ไหม”

 

Page 4 of 42


 © Copyright 2011. เหตุเกิดจากความรัก.